คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4574/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันหนี้รายเดียวกันของ น. จึงเป็นลูกหนี้ร่วมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 682 วรรคสองเมื่อโจทก์ชำระหนี้แทน น. ลูกหนี้ไปแล้วโจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229(3) และมาตรา 296 และมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ น. เพื่อชำระหนี้ทั้งหมดได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 693 วรรคแรก เมื่อต่อมาโจทก์กับ น. ตกลงทำสัญญากู้เงินไว้ว่า น. เดิมหนี้เงินกู้โจทก์ถือว่ามีหนี้ใหม่เกิดขึ้นแล้ว เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่มีผลทำให้หนี้ตามสิทธิไล่เบี้ยนั้นระงับไป โจทก์ชอบที่จะฟ้องบังคับตามมูลหนี้ใหม่ในสัญญากู้เงินความรับผิดของจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้เดิมของ น. และในฐานะหนี้ร่วมกับโจทก์ย่อมระงับไปด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายเนตร กลิ่นสิงห์ ทำสัญญากู้เงินสหกรณ์เมืองนครปฐม จำกัด จำนวน 20,000 บาท โดยโจทก์และจำเลยต่างเป็นผู้ค้ำประกัน เมื่อถึงกำหนดชำระเงินคืนนายเนตรผิดนัดชำระสหกรณ์เมืองนครปฐม จำกัด จึงทวงถามโจทก์ ต่อมาโจทก์ได้ชำระหนี้เป็นต้นเงินจำนวน 20,000 บาท ดอกเบี้ย 20,700 บาท รวมเป็นเงิน40,700 บาท แทนนายเนตร จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันร่วมจึงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวกึ่งหนึ่งคิดเป็นเงินจำนวน 20,350 บาทโจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยใช้เงินจำนวน 21,620 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีของต้นเงินจำนวน20,350 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์และจำเลยต่างเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ที่นายเนตรกู้เงินสหกรณ์เมืองนครปฐม จำกัด แต่ต่างคนต่างค้ำประกันมิได้มีข้อตกลงเข้าเป็นผู้ค้ำประกันรวมกันแต่อย่างใด หากผู้ค้ำประกันคนใดชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไปแล้วก็มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ลูกหนี้เท่านั้น หามีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ค้ำประกันคนอื่นไม่ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน 2531 โจทก์ได้ทวงถามหนี้สินรายนี้จากนายเนตร นายเนตรตกลงชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้ว โดยทำเป็นสัญญากู้เงินให้จำนวน 40,700 บาท จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ดังนั้นโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยอีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 20,350 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 23มีนาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยทำสัญญาค้ำประกันในการที่นายเนตร กลิ่นสิงห์ ทำสัญญากู้เงินจากสหกรณ์เมืองนครปฐม จำกัด โจทก์ได้ชำระหนี้แก่สหกรณ์เมืองนครปฐมจำกัด แทนนายเนตร ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 40,700 บาทหลังจากโจทก์ชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแล้วโจทก์ได้ให้นายเนตรทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ตามเอกสารหมาย ล.1 ปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกามีเพียงว่า เอกสารหมาย ล.1 ที่โจทก์กับนายเนตรทำไว้ต่อกันเป็นหลักฐานเกี่ยวกับการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ได้ชำระหนี้ให้สหกรณ์เมืองนครปฐม จำกัด แทนนายเนตรไปจำนวน 40,700 บาทตามจำนวนเงินที่นายเนตรเป็นหนี้อยู่ โจทก์และจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันหนี้รายเดียวกัน จึงเป็นลูกหนี้ร่วม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 682 วรรคสอง เมื่อโจทก์ชำระหนี้แทนนายเนตรไปแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 229(3) และ มาตรา 296 นอกจากนี้โจทก์ยังมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่นายเนตรลูกหนี้เพื่อให้ชำระหนี้ดังกล่าวทั้งหมดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 693 วรรคแรก อีกด้วยข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ตกลงกับนายเนตรทำหนังสือสัญญากู้เงินไว้ต่อกันตามเอกสารหมาย ล.1 มีข้อความสรุปว่านายเนตร กลิ่นสิงห์เป็นหนี้เงินกู้โจทก์เป็นเงิน 40,700 บาท กรณีดังกล่าวถือได้ว่ามีหนี้ใหม่เกิดขึ้นตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ มีผลทำให้หนี้ตามสิทธิไล่เบี้ยนั้นระงับไป โจทก์ชอบที่จะฟ้องบังคับตามมูลหนี้ใหม่ในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล.1 กรณีดังกล่าวความรับผิดของจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้เดิมของนายเนตรและในฐานะลูกหนี้ร่วมกับโจทก์ย่อมระงับไปด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้อีก ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share