คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4561/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสินสมรสต่อท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ตกลงยกบ้านพิพาทให้แก่บุตรทั้งสามนั้นเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคหนึ่ง แต่บุตรทั้งสามไม่ได้แสดงเจตนาต่อโจทก์กับจำเลยที่ 1 ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นตามมาตรา 374 วรรคสอง กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทจึงยังเป็นของโจทก์กับจำเลยที่ 1 คนละครึ่ง นอกจากนี้โจทก์ยังอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรส ซึ่งหากฟังได้ตามที่โจทก์อ้าง โจทก์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทคนละครึ่งหนึ่งเช่นเดียวกัน การที่จำเลยที่ 1 นำที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งโจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้ยินยอมด้วย ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้
ว. ได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ระหว่างปี 2514 ถึง 2516ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิม มาตรา 1466 เพราะการให้มิได้แสดงว่าให้ไว้เป็นสินส่วนตัวตามมาตรา 1464(3) และกรณีเป็นการยกให้ก่อนปี 2519 จึงไม่อาจใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2519 บังคับ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 เคยขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่ ท. เมื่อปี 2525 และมิได้ไถ่คืนภายในกำหนด ต่อมาจึงได้ซื้อคืนจาก ท. เมื่อปี 2526 แม้จะใส่ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว ก็ต้องถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสเป็นสินสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 1474(1) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2519
ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 2 จะทำสัญญาดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนสัญญาดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันกรรมสิทธิ์ส่วนของโจทก์ตามมาตรา 1361 วรรคสอง แต่ยังคงมีผลผูกพันกรรมสิทธิ์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 1361 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรรมสิทธิ์ของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและบ้านระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินและบ้านกลับคืนให้จำเลยที่ 1 และให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ 2122ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ตามที่คู่ความมิได้โต้แย้งว่า เดิมบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า บันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสินสมรสต่อท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ตกลงยกบ้านพิพาทให้แก่บุตรทั้งสามนั้น เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคหนึ่ง แต่บุตรทั้งสามไม่ได้แสดงเจตนาต่อโจทก์กับจำเลยที่ 1 ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นตามมาตรา 374 วรรคสอง กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทจึงยังเป็นของโจทก์กับจำเลยที่ 1 คนละครึ่ง นอกจากนี้โจทก์ยังอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรส ซึ่งหากฟังได้ตามที่โจทก์อ้าง โจทก์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งเช่นเดียวกัน การที่จำเลยที่ 1 นำที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งโจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยไปขายให้แก่จำเลยที่ 2โดยโจทก์มิได้ยินยอมด้วย ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 หรือไม่ ปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 4ยังมิได้วินิจฉัย แต่คู่ความได้สืบพยานจนสิ้นกระแสความแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4วินิจฉัย สำหรับปัญหาว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสหรือไม่นั้น โจทก์มีตัวโจทก์และนางแหวน เจริญศรี มารดา จำเลยที่ 1 เป็นพยานเบิกความว่า โจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ปี 2511 แต่เพิ่งจดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2513 หลังจากโจทก์สมรสกับจำเลยที่ 1 ประมาณ 3 ถึง 4 ปีและมีบุตร 1 คนแล้ว นางแหวนจึงยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 1หลังจากยกที่ดินพิพาทให้แล้ว โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันสร้างบ้านขึ้น1 หลัง เป็นการสร้างไปเรื่อย ๆ จนปี 2516 ก็สามารถเข้าพักอาศัยได้และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2518 เห็นว่า ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.13 แผ่นที่ 9 บุตรสามคนของโจทก์และจำเลยที่ 1 เกิดในปี 2514ปี 2516 และปี 2522 ตามลำดับ เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองประกอบสำเนาทะเบียนบ้านแล้วน่าเชื่อว่านางแหวนยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 ในระหว่างปี 2514 ถึงปี 2516 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดบุตรคนที่หนึ่งแล้ว แต่บุตรคนที่สองยังไม่เกิด และโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ลงมือสร้างบ้านก่อน และในปี 2516 จึงสามารถเข้าอยู่อาศัยได้ในปีดังกล่าวที่โจทก์ตอบทนายความจำเลยที่ 2 ถามค้านว่า จำเลยที่ 1 ได้รับยกให้ที่ดินจากมารดาจำเลยที่ 1 ในวันที่ 11 มีนาคม 2523 ตามเอกสารหมาย ล.1นั้น น่าจะเป็นการเข้าใจผิดเพราะขัดกับคำเบิกความตอนต้นของโจทก์และตามเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งเป็นสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2368 นั้น ไม่มีรายการจดทะเบียนว่านางแหวนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 ในวันที่ 11 มีนาคม 2523 แต่วันที่ 11 มีนาคม 2523 นั้นเป็นวันที่เจ้าพนักงานออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่มีชื่อของนางแหวนเข้ามาเกี่ยวข้องเลยแสดงว่านางแหวนน่าจะยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 ก่อนวันดังกล่าว แต่เพิ่งมีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นชื่อของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 11 มีนาคม 2523วันดังกล่าวจึงมิใช่ข้อยืนยันว่าเป็นวันที่นางแหวนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1นอกจากนี้ตามเอกสารหมาย จ.7 ซึ่งเป็นหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับนางทอง โพธิ์ยันต์ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2525ได้ระบุว่าที่ดินพิพาทที่ขายฝากนี้ จำเลยที่ 1 ได้มาโดยการรับให้และถือครองมา 14 ปี จึงเป็นข้อยืนยันว่ามิใช่เพิ่งจะรับให้เมื่อปี 2523ก่อนจดทะเบียนขายฝากเพียง 2 ปี แต่เป็นการรับให้ก่อนหน้านั้นมากว่า10 ปีแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์และนางแหวน พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า นางแหวนได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ระหว่างปี 2514 ถึง 2516 ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิมมาตรา 1466เพราะการให้มิได้แสดงว่าให้ไว้เป็นสินส่วนตัวตามมาตรา 1464(3)และกรณีเป็นการยกให้ก่อนปี 2519 จึงไม่อาจใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 บังคับดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษา นอกจากนี้ยังปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์จำเลยที่ 1 และสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.4 ว่า จำเลยที่ 1เคยขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่นางทองเมื่อปี 2525 และมิได้ไถ่คืนภายในกำหนดต่อมาจึงได้ซื้อคืนจากนางทองเมื่อปี 2526 แม้จะใส่ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียวก็ต้องถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส เป็นสินสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 1474(1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 จึงไม่มีทางโต้แย้งเป็นอื่น นอกจากฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และโจทก์กับจำเลยที่ 1จดทะเบียนการหย่าโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ต้องแบ่งสินสมรสคนละส่วนเท่ากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 แต่เมื่อยังมิได้แบ่งกันจึงต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยกรรมสิทธิ์ ถือว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมมีส่วนเท่ากัน การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของรวมได้ทำสัญญาขายที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์ไม่ทราบเรื่องและไม่ได้ให้ความยินยอมด้วย แม้จำเลยที่ 2 จะทำสัญญาดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน สัญญาดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันกรรมสิทธิ์ส่วนของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง แต่ยังคงมีผลผูกพันกรรมสิทธิ์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 1361 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองตามเอกสารหมาย ล.5 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรรมสิทธิ์ของโจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2122ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ตามหนังสือสัญญาขายที่ดินฉบับลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2538 ระหว่างจำเลยทั้งสอง เฉพาะส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หนึ่งในสองส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

Share