คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2508/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่จำเลยกับเพื่อนคนหนึ่งกำลังยืนคุยกัน ถูก ต. กับพวก3 – 4 คนวิ่งเข้ามาทำร้ายแล้วพากันวิ่งหนีไป จำเลยถือปืนวิ่งไล่ตาม แต่เมื่อไล่ไม่ทัน จำเลยก็วิ่งกลับมาที่เดิม นำเพื่อนขึ้นไปนั่งบนรถยนต์สองแถวเพื่อจะกลับบ้าน แสดงว่าจำเลยไม่สมัครใจที่จะวิวาทกับ ต. และพวกต่อไปแล้ว ต. กับพวกแจ้งให้ผู้เสียหายซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุทราบ ผู้เสียหายพร้อมด้วย ต. กับพวกรวม 7 – 8 คน มีมีดเป็นอาวุธพากันวิ่งไปหาจำเลยซึ่งยืนอยู่ท้ายรถยนต์สองแถว จำเลยร้องห้ามไม่ให้ผู้เสียหายกับพวกเข้ามาผู้เสียหายกับพวกไม่ฟังเสียง พวกผู้เสียหายกลับพูดว่าลุยเข้าไปเลยกระสุนปืนหมดแล้วจำเลยชักปืนออกมาถือจ้องไว้ ผู้เสียหายกับพวกก็ยังวิ่งเข้ามา จำเลยจึงยิงปืนออกไป 1 นัด ในขณะที่ผู้เสียหายอยู่ห่างจำเลย 10 เมตร และ ต. อยู่ห่าง 5 เมตร ดังนี้ถือได้ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒, ๓๓,๘๐, ๙๑, ๒๘๘, ๓๗๑, ๓๗๖ พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯริบของกลาง ยกคำขออื่น
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๓๗๖ ลงโทษตามมาตรา ๒๘๘, ๘๐ ซึ่งเป็นบทหนัก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับเพื่อนคนหนึ่งกำลังยืนคุยกันอยู่ใกล้กับที่รถยนต์สองแถวจอด ระหว่างที่ยืนคุยกันอยู่นั้น นายตึ๋งกับพวก ๓ – ๔ คน วิ่งเข้ามาชกต่อยจำเลยกับเพื่อน และนายตึ๋งใช้ขวดตีศีรษะเพื่อนของจำเลย แล้วนายตึ๋งกับพวกพากันวิ่งหนีไป จำเลยกับเพื่อนวิ่งไล่ตาม และจำเลยถือปืนไปด้วย แต่เมื่อไล่ตามไม่ทัน จำเลยก็วิ่งกลับมาที่รถยนต์สองแถว นำเพื่อนขึ้นไปนั่งบนรถเพื่อจะกลับบ้าน แสดงว่าจำเลยไม่สมัครใจที่จะวิวาททำร้ายกับนายตึ๋งและพวกต่อไปแล้ว แต่ปรากฏว่านายตึ๋งกับพวกวิ่งหนีเข้าไปในตลาดบอกผู้เสียหายว่าถูกจำเลยกับพวกวิ่งไล่ตามมาจะยิง ผู้เสียหายกับนายตึ๋งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ขณะนั้นผู้เสียหายกำลังรับจ้างลับมีดบังตออยู่ในตลาด เมื่อทราบเรื่องผู้เสียหายกับพวกได้วิ่งไปยังที่เกิดเหตุทันที ผู้เสียหายกับพวกมีมีดติดตัวไปเกือบทุกคน วิ่งกรูกันเข้ามายังรถยนต์สองแถวที่จอดอยู่ พอเห็นเช่นนั้นจำเลยกระโดดขึ้นไปบนรถยนต์สองแถว และพูดห้ามว่าอย่างเข้ามานะ แต่ผู้เสียหายกับพวกไม่ฟังเสียง ตนในกลุ่มของผู้เสียหายกลับพูดว่าลุยเข้าไปเลย กระสุนปืนหมดแล้ว จำเลยได้ยินดังนั้นได้ชักปืนออกมาถือจ้องไว้ ผู้เสียหายกับพวกก็ยังวิ่งเข้ามา จำเลยจึงยิงปืนออกไป ๑ นัด กระสุนปืนถูกผู้เสียหายล้มลง หลังจากนั้นรถยนต์สองแถวก็แล่นออกไป ศาลฎีกาเห็นว่าขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่บนรถยนต์สองแถว ผู้เสียหายกับพวก ๗ – ๘ คนถือมีดเข้ามาจะทำร้ายจำเลย ขณะที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายกับพวก จำเลยอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ ๑๐ เมตรและอยู่ห่างนายตึ๋งประมาณ ๕ เมตร หากผู้เสียหายกับพวกวิ่งเข้ามาถึงตัวอาจทำร้ายจำเลยถึงตายได้ นับได้ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายกับพวกในขณะนั้น จึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุจำเลยไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายและฐานยิงปืนโดยใช่เหตุ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นและข้อหายิงปืนโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share