แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อกล่าวหาของจำเลยที่ว่า นายหิรัญผู้พิพากษาได้ร่วมรับประทานเลี้ยงกับนางนิภาโจทก์ซึ่งนายหิรัญตัดสินให้ชนะคดีที่ร้านข้างศาลในตอนเย็นวันตัดสินนั้น เป็นความเท็จ และจำเลยได้ร้องเรียนความดังกล่าวต่อปลัดกระทรวงยุติธรรมภาค 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชานายหิรัญในการสอบสวนเพื่อดำเนินการทางวินัยแก่นายหิรัญ เช่นนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการแจ้งข้อความเท็จดดยเจตนาซึ่งอาจทำให้นายหิรัญเสียหาย เป็นความผิดตามมาตรา 137 ยิ่งกว่านั้นข้อความที่จำเลยแจ้งเท็จดังกล่าว ยังมีความหมายไปในทางหาว่านายหิรัญประพฤติตนไม่สมควรเป็นไปในทำนองที่พิพากษาคดีความไปโดยไม่สุจริต เป็นการหมิ่นประมาทนายหิรัญผู้พิพากษาในการพิพากษาคดีอันเป็นความผิดตามมาตรา 198 และเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความแก่นายหิรัญตามมาตรา 326 อีกด้วย กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 329(1) เพราะจำเลยมีเจตนาแกล้งกล่าวข้อความเท็จโดยไม่สุจริต
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า ผู้รับแจ้งข้อความอันเป็นเท็จนั้นจะต้องเป็นพนักงานสอบสวน แต่ย่อมหมายถึงเจ้าพนักงานโดยทั่วไป เมื่ออธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 เป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่สอบสวนความผิดทางวินัยกับนายหิรัญ การที่อธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 สอบสวนจำเลยซึ่งเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงาน เมื่อจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่ออธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 ซึ่งอาจทำให้นายหิรัญเสียหาย จึงเป็นความผิดตามมาตรา 1371
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยกับพวกถูกนางนิภาฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยนายหิรัญผู้พิพากษาเป็นเจ้าของสำนวนพิพากษาให้นางนิภาชนะ ต่อมาวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๐๕ จำเลยกับพวกได้ทำหนังสือร้องเรียนต่อปลัดกระทรวงยุติธรรมว่า เมื่อใกล้เวลาที่ศาลจังหวัดฉะเชิงเทราจะตัดสินคดีดังกล่าว พยานของนางนิภาโจทก์ได้ท้าทายอวดถึงผลการตัดสินคดีว่านางนิภาเสียเงินให้ผู้พิพากษา ๑๐,๐๐๐ บาท ผู้พิพากษารับจะช่วยให้นางนิภาชนะคดี และคนของโจทก์ได้ท้าพนันกับบุคคลอื่นโดยเปิดเผย จำเลยมิได้เชื่อถือนัก ฯลฯ แต่ในวันตัดสิน ศาลได้พิพากษาให้นางนิภาชนะคดี แล้วตอนเย็นวันนั้นเอง ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนกับพนักงานศาลหลายนายพร้อมด้วยนางนิภาได้เปิดการเลี้ยงกันในภัตตาคารข้างศาล ฯลฯ ซึ่งข้อความที่จำเลยร้องเรียนดังกล่าวไม่เป็นความจริง ปลัดกระทรวงยุติธรรมได้ส่งหนังสือของจำเลยให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค ๒ ผู้บังคับบัญชานายหิรัญทำการสอบสวน ต่อมาวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๐๕ จำเลยได้ให้ถ้อยคำแก่นายสวิง สัตพลี อธิบดีผู้พิพากษาภาค ๒ ผู้ทำการสอบสวนตามอำนาจหน้าที่ทำนองดังกล่าวข้างต้น และได้มีสารจดบันทึกข้อความเท็จนั้นลงในเอกสารราชการ ฯลฯ ในชั้นนั้น จำเลยให้ถ้อยคำด้วยว่า ฯลฯ
ในวันที่ศาลพิพากษาคดีแพ่งดังกล่าว เวลาประมาณบ่าย ๔ โมงเศษ จำเลยกับนายอีนายเที่ยงเดินไปตามตลาดถึงร้านขายอาหารข้างศาล จำเลยเห็นคนนั่งกินอาหารกันอยู่ที่โต๊ะหลายคน มีนางนิภา นายหิรัญผู้พิพากษา และเสมียนศาล ๔ คน จำเลยเห็นดังนั้นจึงบอกแก่นายเที่ยงนายอีว่า เขารับประทานกันอย่างนี้ คดีของเราก็แพ้เป็นจริงดังที่นายมณีพนัน ความจริงนายหิรัญมิได้รับเงิน มิได้รับจะช่วยให้นางนิภาชนะคดี นายมณีมิได้ท้าพนันกับจำเลยหรือบอกว่าให้เงิน ๑๐,๐๐๐ บาทแก่นายหิรัญ การกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวเป็นการร้องเรียนเท็จ ใส่ความหมิ่นประมาทนายหิรัญและศาลจังหวัดฉะเชิงเทราต่อบุคคลที่ ๓ โดยโฆษณาด้วยเอกสาร และจำเลยบังอาจแจ้งให้เจ้าหน้าที่จดข้อความเท็จลงในเอกสารราชการ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖,๑๓๗,๑๙๘,๒๖๗,๓๒๖,๓๓๘,๔๐,๙๑
จำเลยให้การปฏิเสธ อ้างว่าที่การกระทำของจำเลยดังโจทก์อ้าง เป็นความจริงทั้งสิ้น
ศาลจังหวัดฉะเชิงเราเห็นว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด คดีมีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่า ข้อความที่จำเลยร้องเรียนต่อปลัดกระทรวงยุติธรรม และทีจำเลยให้การต่อธิบดีผู้พิพากษาภาค ๒ เป็นความเท็จ การกระทำของจำเลยเป็นการจงใจแจ้งความเท็จ ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ ข้อความที่จำเลยกล่าวอ้างได้ความหมายพอทำให้เห็นว่าเป็นการดูหมิ่นนายหิรัญผู้พิพากษาในการพิพากษาคดีตามมาตรา ๑๙๘ และเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความนายหิรัญผู้พิพากษาตามมาตรา ๓๒๖ ด้วยกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา ๓๒๙ เพราะจำเลยแกล้งกล่าวโดยไม่สุจริต พิพากษากลับว่าจำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗,๑๙๘,๓๒๖ ลงโทษตามมาตรา ๑๙๘ ซึงเป็นบทหนักจำคุก ๒ ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อว่า ข้อกล่าวหาของจำเลยที่ว่า นายหิรัญผู้พิพากษาได้ร่วมรับประทานเลี้ยงกับนางนิภาโจทก์ซึ่งนายหิรัญตัดสินให้ชนะคดีที่ร้านข้างศาลในตอนเย็นวันตัดสินนั้น เป็นความเท็จ เมื่อได้ประมวลพฤติการณ์ที่จำเลยร้องเรียนความข้อนี้ต่อปลัดกระทรวงยุติธรรม และไปยืนยันให้ถ้อยคำต่ออธิบดีผู้พิพากษาภาค ๒ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชานายหิรัญผู้พิพากษาในการสอบสวนเพื่อดำเนินการทางวินัยแก่นายหิรัญผู้พิพากษาแล้ว เห็นได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จโดยเจตนาซึ่งอาจทำให้นายหิรัญผู้พิพากษาเสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ ยิ่งกว่านั้น ข้อความที่จำเลยแจ้งเท็จหาว่านายหิรัญผู้พิพากษาได้ไปรับประทานเลี้ยงอาหารกับนางนิภาโจทก์ผู้ที่ตนพิพากษาให้ชนะคดีที่ร้านอาหารข้างศาลในเย็นวันอ่านคำพิพากษานั้น ยังมีความหมายไปนทำนองพิพากษาคดีความไปโดยไม่สุจริตเป็นการหมิ่นประมาทนายหิรัญผู้พิกาษาในการพิพากษคดีอันเป็นความผิดตามประมวลลกฎหมายอาญามาตรา ๑๙๘ และเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความนายหิรัญตามมาตรา ๓๒๖ อีกด้วย กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นที่จำเลยจะไม่มีความผิดตามมาตรา ๓๒๙(๑)
เพราะฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาแกล้งกล่าวข้อความเท็จโดยไม่สุจริต
และเห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗ มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะว่าพนักงาานผู้รับแจ้งข้อความอันเป็นเท็จนั้น จะต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามที่จำเลยอ้างในฎีกาเท่านั้น แต่ย่อมหมายถึงเจ้าพนักงานโดยทั่วไป ข้อเท็จจริงได้ความว่า อธิบดีผู้พิพากษาภาค ๒ เป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่สอบสวนความผิดทางวินัยกับนายหิรัญผู้พิพากษา การที่อธิบดีผู้พิพากษาภาค ๒ สอบสวนจำเลย จึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงาน เมื่อจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่ออธิบดีผู้พิพากษาภาค ๒ ซึ่งอาจทำให้นายหิรัญผู้พิพากษาเสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗ พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์