แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มีคนร้ายลักอาวุธปืนของผู้เสียหายไปตั้งแต่วันที่ 12 ต่อมาวันที่ 16 เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนพนักงานอัยการโจทก์จึงฟ้องจำเลยฐานมีปืนไว้ในความครอบครองไม่รับอนุญาตเป็นคดีหนึ่ง แล้วฟ้องฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรอีกคดีหนึ่ง ดังนี้ เห็นได้ว่าการกระทำผิดฐานมีอาวุธปืนนั้นจำเลยย่อมจะได้กระทำผิดนับแต่วาระแรกที่ได้ปืนนั้นมาไว้ในครอบครอง และเป็นความผิดอยู่เรื่อยไปจนกระทั่งจำเลยถูกจับได้พร้อมอาวุธปืน ส่วนความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรนั้นเป็นความผิดในขณะใดขณะหนึ่งตามที่โจทก์กล่าวหา ฉะนั้น การกระทำผิดของจำเลยที่โจทก์กล่าวหาทั้งสองคดีจึงอาจเป็นความผิดคนละกระทงต่างกรรมต่างวาระกันได้ ฟ้องของโจทก์ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 19/2507)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ 12 พฤษภาคม 2506 เวลากลางวัน มีคนร้ายเข้าไปในห้องเรือนของนายสงวน อินเถื่อน แล้วลักอาวุธปืนลูกซองพกขนาด 12 หนึ่งกระบอก ราคา 300 บาทของนายสงวนไป ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม 2506 เวลากลางคืนหลังเที่ยง เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนดังกล่าว ทั้งนี้โดยจำเลยบังอาจลักไป หรือมิฉะนั้นตามวันเวลาดังกล่าวทั้งสองตอนทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดมาจนวันที่16 พฤษภาคม 2506 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยบังอาจรับอาวุธปืนลูกซองพกนั้นไว้จากคนร้าย โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นปืนที่ได้มาจากการกระทำผิดลักษณะลักทรัพย์ เหตุเกิดตำบลไผ่สิงห์ ตำบลพันลาน อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ระหว่างสอบสวนจำเลยไม่ถูกควบคุมในคดีนี้ แต่ต้องขังอยู่ตามคดีหมายเลขดำที่ 166/2506 และ 767/2506 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8), 357 คืนอาวุธปืนของกลางแก่ผู้เสียหาย และนับโทษต่อคดีดำที่ 166/2506 และ 767/2506
ก่อนจำเลยให้การ ศาลชั้นต้นสอบโจทก์ โจทก์แถลงว่า จำเลยเป็นคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาดำที่ 767/2506 ของศาลจังหวัดนครสวรรค์ เรื่องมีอาวุธปืนไม่รับอนุญาต และแถลงว่าอาวุธปืนที่หาว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองไม่รับอนุญาตนั้น เป็นปืนกระบอกเดียวกับที่หาว่าจำเลยลักหรือรับของโจรคดีนี้ โจทก์รับต่อไปว่าจับจำเลยได้พร้อมด้วยอาวุธปืนของกลางคดีนี้ ซึ่งเป็นวันเวลาเดียวกันกับที่หาว่าจำเลยมีอาวุธปืนไม่รับอนุญาตในคดีอาญาดำที่767/2506 กับโจทก์รับว่าโจทก์ฟ้องคดีดำ 767/2506 ก่อนฟ้องคดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งว่า รูปคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาว่า คดีอาญาหมายเลขดำ 767/2506 อยู่ระหว่างพิจารณาสืบพยานโจทก์ ฉะนั้น เมื่อโจทก์หาว่าจำเลยลักหรือรับของโจรปืนกระบอกของกลางมา จำเลยก็ต้องมีไว้ในครอบครองในปืนกระบอกของกลาง จึงเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะถ้าจำเลยลักแล้วก็ต้องมีไว้ในครอบครอง คือ ต้องใช้กิริยาอาการลักหรือรับปืนไว้ก่อนแล้วจึงจะมีปืนไว้ในครอบครอง เมื่อโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยมีอาวุธปืนของกลางไว้ไม่รับอนุญาตแล้ว โจทก์จะฟ้องเรื่องลักทรัพย์หรือรับของโจรอันเป็นการกระทำอันเดียวกัน อันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เมื่อกฎหมายห้ามโจทก์มิให้ฟ้องแล้ว ก็ต้องยกฟ้องคดีนี้เสีย พิพากษายกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยเฉพาะคดีนี้พ้นข้อหาไป
โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามข้อเท็จจริงได้ความ ฟ้องของโจทก์ไม่ต้องห้ามขอให้พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาต่อไป
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 มาใช้บังคับมิได้ เพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องจะระงับหรือไม่ ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 อยู่แล้ว คำฟ้องของโจทก์เรื่องลักทรัพย์หรือรับของโจรอาวุธปืนไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายนี้ สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์ยังไม่ระงับและไม่ต้องห้าม
อนึ่ง ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นคนละข้อหากับคำฟ้องในคดีอาญาดำที่ 767/2506 แม้อาวุธปืนของกลางจะเป็นกระบอกเดียวกัน เกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกัน การกระทำอันเดียวกันเป็นความผิดตามกฎหมายหลายบทหลายกระทงหรือไม่อย่างไร ก็ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้โจทก์นำคดีมาฟ้อง ในเมื่อคดีอาญาดำที่ 767/2506 ยังอยู่ในระหว่างพิจารณา ส่วนในเรื่องที่จะลงโทษจำเลยคดีนี้ได้หรือไม่เพียงใดเป็นเรื่องที่จะรวมพิจารณาและพิพากษาด้วยกันได้ตามกฎหมายและรูปคดี พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นเรื่องฟ้องซ้ำดังศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ ขอให้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว โจทก์รับว่าจำเลยคนเดียวกันนี้ โจทก์ได้ฟ้องเป็นจำเลยในคดีดำที่ 767/2506 ในข้อหาว่ามีอาวุธปืนกระบอกเดียวกับที่ฟ้องในคดีนี้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตคดีดำที่ 767/2506 นั้น โจทก์ได้ฟ้องไว้ก่อนคดีนี้ และโจทก์ยังได้แถลงรับต่อไปว่า จับจำเลยได้พร้อมทั้งอาวุธปืนของกลางในคดีนี้ซึ่งเป็นวันเวลาเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตในคดีอาญาดำที่ 767/2506 นั่นเองปัญหามีว่า ความผิดฐานมีปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยในคดีอาญาดำที่ 767/2506 กับความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยคนเดียวกันกระทำผิดในคดีนี้ จะเป็นการกระทำกรรมเดียววาระเดียวกันหรือเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน ปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่แล้ว เห็นว่า การกระทำผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น จำเลยย่อมจะได้กระทำผิดนับแต่วาระแรกที่ได้ปืนนั้นมาไว้ในครอบครอง และเป็นความผิดอยู่เรื่อยไปจนกระทั่งจำเลยถูกจับได้พร้อมทั้งอาวุธปืนของกลางนั้น ส่วนความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้นั้น โจทก์ฟ้องว่า คนร้ายได้ลักปืนของกลางไปเมื่อ 12 พฤษภาคม 2506 เวลากลางวัน ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม 2506 เวลากลางคืนหลังเที่ยงเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยอาวุธปืนของกลาง ทั้งนี้ โดยจำเลยเป็นคนร้ายลักปืนกระบอกนี้ไปเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2506 หรือจำเลยรับของโจรปืนของกลางนี้ในขระใดขณะหนึ่งในระหว่างวันที่ 12 ถึงวันที่ 16 พฤษภาคม 2506 ดังนี้ จึงเห็นได้ว่าความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรนั้นเป็นความผิดในขณะใดขณะหนึ่งตามที่โจทก์กล่าวหา แต่ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น เป็นความผิดแต่ขณะแรกที่มีปืนไว้ในครอบครองและเป็นความผิดอยู่เรื่อยไปจนกระทั่งจำเลยถูกจับได้พร้อมอาวุธปืนนั้น ฉะนั้น การกระทำผิดของจำเลยที่โจทก์กล่าวหาทั้งสองคดีนี้จึงอาจเป็นความผิดคนละกระทงต่างกรรมต่างวาระกันได้ ฟ้องของโจทก์ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ชอบแล้ว
พิพากษายืน