คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2039/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ประเด็นในคดีก่อนมีว่า ผู้ร้องทำละเมิดต่อผู้คัดค้านที่ 1 โดยการทำรั้วในที่ดินของผู้คัดค้านที่ 1 หรือไม่ ส่วนในคดีนี้มีประเด็นว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ กรณีจึงเป็นคนละประเด็นกัน อีกทั้งผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน การยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ร้องในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ปัญหานี้แม้ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในคำคัดค้าน แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมจึงยกขึ้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอ ขอให้มีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เฉพาะส่วนเนื้อที่ 1 งาน 53 ตารางวา ด้านทิศเหนือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ และให้ใส่ชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวต่อไป
ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้องขอ
ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกนางวัชรี ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 เข้ามาเป็นผู้คัดค้านร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ผู้คัดค้านร่วมยื่นคำค้ดค้าน ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 เลขที่ดิน 525 ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เฉพาะเนื้อที่ 1 งาน 53 ตารางวา ด้านทิศเหนือตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ร.10 เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นซึ่งคู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี โดยรับโอนมรดกมาจากนางรอด ซึ่งเป็นมารดา ผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมเป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี โดยผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับยกให้จากผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาและผู้คัดค้านร่วมได้รับยกให้จากนายสนั่น ซึ่งเป็นบิดา ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวอยู่ติดกันโดยที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 อยู่ทางทิศตะวันตกของที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ทางด้านทิศเหนือซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 ผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินส่วนนี้โดยเจตนาเป็นเจ้าของ ก่อนผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นคดีนี้ผู้คัดค้านที่ 1 เคยเป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องเป็นคดีละเมิดตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1988/2538 ของศาลชั้นต้น ขอให้ผู้ร้องรื้อถอนรั้วลวดหนามพร้อมเสาคอนกรีตที่ผู้ร้องสร้างขึ้นในที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ผู้ร้องรื้อถอนรั้วลวดหนามพร้อมเสาคอนกรีตออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5156
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำหรือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1988/2538 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ปัญหานี้แม้ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในคำคัดค้าน แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมจึงยกขึ้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง เห็นว่า ประเด็นในคดีก่อนมีว่า ผู้ร้องทำละเมิดต่อผู้คัดค้านที่ 1 โดยการทำรั้วในที่ดินของผู้คัดค้านที่ 1 หรือไม่ส่วนในคดีนี้ประเด็นว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ หรือไม่ กรณีจึงเป็นคนละประเด็นกัน อีกทั้งผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน การยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ร้องในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1988/2538 ของศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5756/2533 (ประชุมใหญ่) ที่ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมอ้างนั้น ข้อเท็จจริงต่างกับคดีนี้ ฎีกาข้อนี้ของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบหรือไม่ ที่ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมฎีกาว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทยังไม่ครบ 10 ปี และมิได้ครอบครองโดยสงบนั้น ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6 มิถุนายน 2539 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 แถลงรับว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยสงบและโดยเปิดเผยตลอดมา โดยครอบครองต่อมาจากบิดามารดาผู้ร้องรวมเวลาได้กว่า 30 ปี แม้ตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวจะระบุเนื้อที่ของที่ดินพิพาทเพียง 30 ตารางวา แต่ต่อมาศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้ผู้ร้องแก้ไขคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจาก 30 ตารางวา เป็น 1 งาน 53 ตารางวา ตามคำร้องของผู้ร้องลงวันที่ 12 มิถุนายน 2541 ทั้งนี้ ตามคำสั่งศาลชั้นต้นในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 11 สิงหาคม 2542 (ที่ถูกเป็น 2541) ดังนี้ คำแถลงรับข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงผูกพันผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 จะยกขึ้นฎีกาโต้เถียงเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 คงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของผู้คัดค้านร่วมซึ่งมิได้แถลงรับข้อเท็จจริงดังกล่าว ในปัญหานี้ผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องเริ่มครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2506 ซึ่งเป็นปีที่นางรอด มารดาผู้ร้องถึงแก่กรรมตามสำเนาทะเบียนคนตาย จนกระทั่งถึงปี 2533 ผู้ร้องจึงขอรังวัดสอบเขต นับถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลาเกินกว่า 10 ปี แล้ว โดยไม่มีบุคคลใดเข้ามาโต้แย้งการครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ร้องแต่อย่างใด โดยผู้ร้องมีนายก้าน อดีตกำนันตำบลบางขุนกอง มาเบิกความว่า พยานเห็นผู้ร้องปลูกต้นไม้ในที่ดินพิพาทและเก็บกินดอกผลตลอดมา พยานเข้าใจว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ร้องและผู้ร้องมีนางสอน ญาติผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมมาเบิกความว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนายโต๊ะและนางรอด ภายหลังจากบุคคลทั้งสองถึงแก่กรรมผู้ร้องในฐานะทายาทของบุคคลทั้งสองได้เข้าทำประโยชน์โดยเก็บเกี่ยวผลไม้ในที่ดินพิพาทมานานประมาณ 30 ปี พยานเข้าใจว่าผู้ร้องครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของไม่เคยเห็นฝ่ายผู้คัดค้านเข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ผู้คัดค้านร่วมนำสืบว่าก่อนปี 2533 ผู้ร้องไม่เคยขอรังวัดสอบเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 5158 เมื่อผู้ร้องได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 5158 มาในปี 2533 จึงได้มีการังวัดสอบเขตที่ดิน ผู้ร้องชี้แนวเขตไปจนจดที่ดินของนางสมจิตร์ อันเป็นการชี้แนวเขตทับที่ดินโฉนดเลขที่ 5156 ของผู้คัดค้านร่วม นายสนั่นจึงคัดค้านการชี้แนวเขตของผู้ร้อง เห็นว่า ผู้คัดค้านร่วมมิได้นำสืบหักล้างว่าผู้ร้องไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2506 แต่นายโชติ พยานผู้คัดค้านร่วมเบิกความเจือสมทางนำสืบของผู้ร้องว่าพยานเห็นนายโต๊ะและนางรอดบิดามารดาผู้ร้องทำกินในที่ดินพิพาทจนกระทั่งถึงแก่กรรม หลังจากนั้นเห็นผู้ร้องทำกินในที่ดินพิพาท ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่ผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2506 จึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันเกิน 10 ปีแล้ว ที่ผู้คัดค้านร่วมนำสืบว่า ฝ่ายผู้ร้องกันฝ่ายผู้คัดค้านมีการพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินภายหลังจากการรังวัดสอบเขตของผู้ร้องในปี 2533 นั้น ก็เป็นเวลาภายหลังจากที่ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยมีเจตนาเป็นเจ้าของครบ 10 ปีแล้ว จึงรับฟังได้ว่าผู้ร้องครอบครองโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน อันเป็นการครอบครองโดยสงบดังที่ผู้ร้องนำสืบ ฎีกาของผู้คัดค้านร่วมในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share