คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6510/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จะปรากฏจากพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ว่าจำเลยยังมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม แต่พฤติการณ์ที่จำเลยพาผู้เสียหายเข้าไปในโรงแรมแล้วกอดปล้ำผู้เสียหาย ถอดเสื้อผ้าเพื่อจะข่มขืนกระทำชำเรา โดยมีเจตนาจะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย อวัยวะเพศของจำเลยคงจะเสียดสีกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายจนทำให้เกิดรอยแดงด้านนอกของอวัยวะเพศของผู้เสียหาย และหากอวัยวะเพศของจำเลยล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายเยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายคงต้องมีร่องรอยฉีกขาด การกระทำของจำเลยเป็นเพียงการลงมือกระทำความผิด แต่กระทำไปไม่ตลอดหรือกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล จึงเป็นความผิดเพียงฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 277, 317

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา นางสุวรรณี มูละ มารดาผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก, 317 วรรคสามการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานข่มขืนกระทำชำเราจำคุก 6 ปี ฐานพรากผู้เยาว์จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 11 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกา วินิจฉัยว่า “…ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานว่าจำเลยพาผู้เสียหายไปที่โรงแรมลิฟว์อินน์แล้วใช้กำลังกอดปล้ำถอดเสื้อผ้าของผู้เสียหายออกแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย 2 ครั้ง หลังจากนั้นจำเลยได้นำผู้เสียหายมาส่งไว้ในเมือง และกำชับห้ามมิให้บอกเรื่องนี้แก่ผู้อื่นเห็นว่า ผู้เสียหายเคยเป็นลูกศิษย์ของจำเลยมาก่อน ย่อมมีความเคารพยำเกรงตามวัฒนธรรมไทยอยู่แล้ว เมื่อไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน จึงไม่มีสาเหตุอันใดที่ผู้เสียหายจะแกล้งกล่าวหาปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ อีกทั้งการนำเรื่องนี้มาเปิดเผย หากไม่เป็นความจริงมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้หญิงยิ่งขึ้น จึงเชื่อได้ว่าผู้เสียหายเบิกความไปตามเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาแต่ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายนั้น นายแพทย์ยงยุทธภูมิชาติ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความประกอบผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.2 ว่า พยานเป็นผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหายภายหลังเกิดเหตุ พบว่ามีรอยแดงเล็กน้อยบริเวณแคมเล็กด้านหลังตำแหน่ง 6 นาฬิกา ทั้งด้านซ้ายและด้านขวามีจุดห้อเลือด ลักษณะบาดแผลเป็นทางยาว รอยถลอกไม่ลึก เยื่อพรหมจารีไม่ฉีกขาด ไม่พบร่องรอยถลอกหรือฟกช้ำที่เยื่อพรหมจารีร่องรอยถลอกอยู่ห่างจากเยื่อพรหมจารีประมาณ 1 เซนติเมตร และยังไม่ได้ล้ำเข้าไปในช่องคลอดของผู้เสียหาย ผลการตรวจทางเคมีไม่พบเชื้ออสุจิในช่องคลอด สรุปความเห็นว่า ไม่พบหลักฐานที่เกิดจากการร่วมประเวณีเห็นว่า หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นหลักฐานทางวิชาการที่น่าเชื่อถือจากข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเชื่อได้ว่าจำเลยยังมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย แต่การที่จำเลยพาผู้เสียหายเข้าไปในโรงแรมแล้วกอดปล้ำผู้เสียหาย ถอดเสื้อผ้าของผู้เสียหายออกเพื่อจะข่มขืนกระทำชำเราโดยมีเจตนาจะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย อวัยวะเพศของจำเลยคงจะเสียดสีกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายจนทำให้เกิดรอยแดงด้านนอกของอวัยวะเพศของผู้เสียหายและหากอวัยวะเพศของจำเลยล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย เยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายคงต้องมีร่องรอยฉีกขาด การกระทำของจำเลยเป็นเพียงการลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอดหรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล จึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย

อนึ่ง ปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จหรืออยู่ในขั้นพยายามกระทำความผิดเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80 วางโทษจำคุก 4 ปี เมื่อรวมกับโทษจำคุก 5 ปี ในความผิดฐานพรากผู้เยาว์แล้ว รวมเป็นจำคุก 9 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share