แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้รอการกำหนดโทษจำเลยไว้เป็นเวลา5 ปี โดยกำหนดเงื่อนไขคุมประพฤติจำเลยไว้เป็นเวลา 1 ปีแม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยโดยไม่รอการกำหนดโทษซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขมากก็ตามแต่ศาลอุทธรณ์ก็ลงโทษปรับจำเลยเพียงกระทงละไม่เกิน10,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358,295, 391, 83, 91
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 83 และจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 อีกกระทงหนึ่ง จำเลยที่ 1 ให้ลงโทษเรียงกระทง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เหตุเกิดเพราะบริวารของทั้งสองฝ่ายวิวาทกันก่อน สาเหตุจากการใช้พื้นที่หลังร้าน จำเลยทั้งสามกระทำผิดเพราะขาดสติไปเพียงชั่วขณะ หลังเกิดเหตุได้พยายามจะขอขมาแล้วแต่ตกลงกันไม่ได้ เมื่อได้คำนึงถึงสภาพความผิดแล้วเห็นควรรอการกำหนดโทษจำเลยทั้งสามไว้เป็นเวลา 5 ปี โดยกำหนดเงื่อนไขคุมประพฤติจำเลยทั้งสาม ห้ามจำเลยทั้งสามประพฤติในทางเป็นผู้ก่อให้เกิดการวิวาทขึ้นอีก ให้จำเลยทั้งสามมารายงานตัวต่อรองจ่าศาลประชาสัมพันธ์ เดือนละครั้งเป็นเวลา 1 ปี จำเลยที่ 4มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 แต่จำเลยที่ 4อายุไม่เกิน 14 ปี ไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย ส่วนจำเลยที่ 5พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมที่ 1 ที่ 3 และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3มีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 83 ปรับคนละ 2,000 บาท และจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ปรับ 2,000 บาทรวมปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 4,000 บาท ไม่คุมความประพฤติ ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้รอการกำหนดโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไว้เป็นเวลา 5 ปี โดยกำหนดเงื่อนไขคุมประพฤติของจำเลยทั้งสามไว้เป็นเวลา 1 ปี แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสามโดยไม่รอการกำหนดโทษซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขมากก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ก็ลงโทษปรับจำเลยทั้งสามเพียงกระทงละไม่เกิน 10,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามฟ้อง เป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานโดยการเถียงข้อเท็จจริงอันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3