คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4512/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้พยานโจทก์ทั้งสองปากจะมีพฤติการณ์เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับจำเลย แต่เมื่อพนักงานสอบสวนได้กันไว้เป็นพยานค่าเบิกความของพยานดังกล่าวอาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ แต่มีน้ำหนักน้อย มิใช่จะรับฟังไม่ได้เลยเสียทีเดียว และถ้าหากโจทก์มีพยานหลักฐานอื่นประกอบแล้ว ก็รับฟังลงโทษจำเลยได้
ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีอยู่ในฐานะเป็นคู่ความ จึงมีสิทธิที่จะเรียงคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ตลอดทั้งมีสิทธิเรียงคำฟ้องอุทธรณ์และคำแก้อุทธรณ์ได้
เหตุความผิดฐานฆ่าผู้ตายเกิดที่อำเภอ ก. ถือว่าความผิดฐานใช้จ้าง วาน ให้ฆ่าผู้ตาย เกิดในท้องที่ดังกล่าวท้องที่หนึ่งด้วยและคดีได้เริ่มทำการสอบสวนตั้งแต่จับจำเลยยังไม่ได้ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอ ก. ซึ่งท้องที่ที่พบการกระทำผิดก่อนอยู่ในเขตอำนาจย่อมเป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา มาตรา 19 ข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดำเนินคดีอาญา เป็นเพียงระเบียบปฏิบัติภายในที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของข้อบังคับดังกล่าวหาทำให้อำนาจสั่งคดีของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอ ก. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเสียไปไม่ การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2526 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 10 เมษายน 2526 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดจำเลยก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการใช้ จ้าง วาน ให้นายอาหมาด ดวงแก้ว นายก้าหรีม ดำเชื้อ นายตอหาด บุตรหลำ กับพวกซึ่งหลบหนี ร่วมกันฆ่านายแสงชัยหรือโหลน ศักดิ์ศรีทวี ให้ถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ต่อมาวันที่ 10 เมษายน 2526 เวลากลางวัน นายอาหมาย ดวงแก้ว นายก้าหรีม ดำเชื้อ นายตอหาด บุตรหลำ กับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายแสงชัย ศักดิ์ศรีทวี และนายปรีดี สุจริตกุล ซึ่งนั่งมาในรถยนต์คันเดียวกันจำนวนหลายนัดด้วยเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นเหตุให้นายแสงชัย ศักดิ์ศรีทวี และนายปรีดี สุจริตกุล ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84, 288, 289
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสุพัตรา สุจริตกุล ในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงศักดิ์จิต สุจริตกุล และเด็กหญิงโสภิต สุจริตกุล ผู้เยาว์ ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบด้วยมาตรา 84 วรรคสองให้ประหารชีวิตจำเลยและให้ยกคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมของโจทก์ร่วมเสีย
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมมีสิทธิร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม อนุญาตให้โจทก์ร่วมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีได้และจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าถ้อยคำของจ่าสิบตำรวจชุบและนายประทีปเป็นแต่คำซัดทอดของผู้ต้องหาหรือผู้กระทำผิดด้วยกัน จึงไม่อาจรับฟังมาลงโทษจำเลยได้นั้น เห็นว่าแม้จ่าสิบตำรวจชุบและนายประทีปจะมีพฤติการณ์เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับจำเลย แต่เมื่อพนักงานสอบสวนได้กันไว้เป็นพยานคำเบิกความของพยานทั้งสองปากอาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ แต่มีน้ำหนักน้อยมิใช่จะรับฟังไม่ได้เลยเสียทีเดียว และถ้าหากโจทก์มีพยานหลักฐานอื่นประกอบแล้วก็รับฟังลงโทษจำเลยได้ที่จำเลยฎีกาว่านายจรูญ เสรีถวัลย์ ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ร่วมไม่มีสิทธิเรียงและยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ตลอดทั้งไม่มีสิทธิที่จะเรียงคำฟ้องอุทธรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเท่ากับว่าไม่มีอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์โดยชอบนั้น เห็นว่า นายจรูญเป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ร่วมให้มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลได้ ปรากฏรายละเอียดตามหนังสือมอบอำนาจฉบับลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2529 นายจรูญจึงอยู่ในฐานะเป็นคู่ความ จึงมีสิทธิที่จะเรียงคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ตลอดทั้งมีสิทธิเรียงคำฟ้องอุทธรณ์และคำแก้อุทธรณ์ได้ และเมื่ออุทธรณ์ของโจทก์ร่วมได้ยื่นต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยาย อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมจึงเป็นอุทธรณ์ที่ชอบแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าคดีนี้พันตำรวจเอกพรชัย พรหมมี เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน การเสนอสำนวนการสอบสวนจะต้องเสนอต่อผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 10 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาที่สูงกว่าเป็นผู้สั่ง การที่พนักงานสอบสวนคดีนี้กลับส่งสำนวนการสอบสวนให้แก่สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอกะทู้สั่งคดีส่งให้พนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ตเป็นผู้พิจารณาเลยจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญา พ.ศ. 2523 การสั่งคดีของพนักงานสอบสวนคดีนี้รวมทั้งการสั่งฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า เหตุความผิดฐานฆ่าผู้ตายเกิดที่อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ตถือว่าความผิดฐานใช้ จ้าง วาน ให้ฆ่าผู้ตายเกิดในท้องที่ดังกล่าวท้องที่หนึ่งด้วยโดยเฉพาะคดีนี้เริ่มทำการสอบสวนตั้งแต่จับจำเลยยังไม่ได้ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอกะทู้ซึ่งท้องที่ที่พบการกระทำผิดก่อนอยู่ในเขตอำนาจย่อมเป็นผู้รับผิดชอบใน การสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 ข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวเป็นเพียงระเบียบปฏิบัติภายในที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าวหาทำให้อำนาจสั่งคดีของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอกะทู้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเสียไปไม่ การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการโจทก์จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share