คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 679/2490

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่ผู้ยื่นคำคู่ความจดไว้ในคำคู่ความว่าจะรอฟังคำสั่ง ถ้าไม่รอฟัง ให้ถือว่าได้ทราบคำสั่งนั้น แม้ผู้ยื่นคำร้องมิได้ฟังคำสั่งก็ถือว่าได้ทราบคำสั่งแล้ว
เรื่องการทิ้งฟ้องตาม มาตรา 174 ย่อมนำมาใช้บังคับแก่การทิ้งฟ้องอุทธรณ์ได้ โดยอนุโลม
ผู้อุทธรณ์ไม่มานำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งภายในกำหนดที่ศาลสั่งย่อมเป็นการทิ้งฟ้อง ศาลอุทธรณ์ย่อมสั่งจำหน่ายคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่านายหน้าคืน

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี

จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งในอุทธรณ์ว่า “รับอุทธรณ์ให้นำส่งสำเนาแก่โจทก์ภายใน 15 วัน” คำสั่งลงวันที่ 17 สิงหาคม 2489 คือวันเดียวกับวันยื่นอุทธรณ์ จำเลยไปจัดการนำสำเนาอุทธรณ์เพื่อส่งแก่โจทก์ในวันที่ 3 กันยายน 2489 ศาลชั้นต้นสั่งว่า เกินกำหนด 15 วันแล้วให้ส่งศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ทนายจำเลยจัดการส่งสำเนาอุทธรณ์เกินกำหนด 15 วัน จึงเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 จึงให้จำหน่ายฟ้องอุทธรณ์

จำเลยฎีกา ศาลฎีกาตัดสินว่า จำเลยเถียงว่าจะนำมาตรา 174 มาใช้ไม่ได้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย เพราะมาตรา 246 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาในศาลชั้นต้นมาใช้บังคับโดยอนุโลม มาตรา 174(2) บัญญัติไว้แล้ว ถ้าโจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยได้ส่งคำสั่งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้วให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง คดีนี้ศาลกำหนดให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ใน 15 วัน ซึ่งต้องนับ 1 ในวันรุ่งขึ้น ระยะสิ้นสุดตามคำสั่งก็คือวันที่ 1 กันยายน จำเลยได้รับรองไว้ว่าจะรอฟังคำสั่ง ถ้าไม่มาฟังก็ถือว่าทราบแล้ว ย่อมถือว่าคำสั่งนั้นได้ส่งแก่จำเลยโดยชอบแล้ว จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share