แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขายให้แก่สายลับ โดยขณะจำเลยถูกจับจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ก็เพื่อขายให้แก่สายลับตามที่จำเลยได้รับเงินค่าเมทแอมเฟตามีนจากสายลับไปแล้วนั่นเอง แม้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายเมทแอมเฟตามีนแก่สายลับก็มีผลไม่แตกต่างกัน เนื่องจากคำว่า ขาย รวมความหมายถึง จำหน่ายจ่าย แจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขายด้วย ตามคำจำกัดความของมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สายลับขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย จำเลยรับเงินแล้วแต่ยังไม่ได้มอบเมทแอมเฟตามีนแก่สายลับเนื่องจากขณะนั้นจำเลยไม่มีเมทแอมเฟตามีนขายให้การขายจึงยังไม่เกิดขึ้น ฟังไม่ได้ว่าจำเลยขายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องนั้นย่อมเป็นการไม่ถูกต้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2จำนวน 11 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วจำเลยได้ขายเมทแอมเฟตามีนจำนวนหนึ่งให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปในราคา 100 บาท ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106, 116ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุขและคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 วรรคหนึ่ง, 116 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก 4 ปี ริบของกลางและคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่งวางโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาทให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี และให้คุมความประพฤติไว้ 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือน ต่อครั้ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยขายเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ โจทก์นำสืบว่าคืนวันเกิดเหตุร้อยตำรวจโทวันชัย กับพวกวางแผนให้สายลับนำเงินล่อซื้อที่ทำเครื่องหมายไว้แล้วไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย สายลับมอบเงินให้จำเลยรับไปแล้ว แต่จำเลยไม่มีเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ แต่ให้สายลับรอที่เกิดเหตุเพื่อจำเลยไปนำมามอบให้ตามที่ตกลงขายให้ หลังจากจำเลยไปนำเมทแอมเฟตามีนกลับมายังที่เกิดเหตุแต่ถูกจับเสียก่อนที่จะมอบเมทแอมเฟตามีนแก่สายลับในที่เกิดเหตุ ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขาย เพราะจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ก็เพื่อนำมามอบแก่สายลับตามที่ได้ตกลงขาย และรับเงินค่าซื้อเมทแอมเฟตามีนจากสายลับไปก่อนแล้ว จึงมีความหมายว่า ขณะจำเลยถูกจับจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ก็เพื่อขายให้แก่สายลับตามที่ได้รับเงินค่าเมทแอมเฟตามีนจากสายลับไปแล้วนั่นเองเมื่อฟังได้ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขายให้แก่สายลับ แม้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายเมทแอมเฟตามีนแก่สายลับก็มีผลไม่แตกต่างกันเนื่องจากคำว่า ขายรวมความหมายถึง คำว่า จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขายด้วยตามคำจำกัดความของมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ว่า สายลับขนซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยจำเลยรับเงินแล้วแต่ยังไม่ได้มอบเมทแอมเฟตามีนแก่สายลับเนื่องจากขณะนั้นจำเลยไม่มีเมทแอมเฟตามีนขายให้ การขายจึงยังไม่เกิดขึ้นฟังไม่ได้ว่าจำเลยขายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าจำเลย พยานหลักฐานจำเลยไม่อาจฟังหักล้างได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง และ 89 ให้จำคุก 6 ปีคำให้การของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์