คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1707/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อาวุธปืนที่ยึดได้จากจำเลยที่ 3 เป็นอาวุธปืนคนละกระบอก กับที่จำเลยที่ 3 ใช้ในการกระทำผิดในวันเกิดเหตุ ซึ่งตามฟ้องโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานมีอาวุธปืนกระบอกที่ยึดได้นี้แต่อย่างใดจึงลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานมีอาวุธปืนดังกล่าวไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันมีปืนพกไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่ได้รับใบอนุญาตแล้วจำเลยทั้งสามใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะร่วมกันปล้นเอาเงินจำนวน5,000 บาท ไปจากนางสัมฤทธิ์ เพ็ญจันทร์ โดยร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนางสัมฤทธิ์ตายโดยเจตนาฆ่า ต่อมาจับกุมจำเลยทั้งสามได้โดยขณะจับกุมจำเลยที่ 3 ยึดได้อาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ ขนาด .38จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืน 60 นัด และรถยนต์ 1 คัน เป็นของกลางก่อนฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 2 ต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกในอีกคดีหนึ่งพ้นโทษแล้วกลับมากระทำผิดอีกภายในกำหนด 3 ปี ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 93, 288, 289, 340, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่ทายาทผู้มีสิทธิรับเงินคืน และเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามกฎหมาย
นายสมพล เหมรัตนธร บุตรนางสัมฤทธิ์ เพ็ญจันทร์ ผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษจริงตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามกับพวกอีกหนึ่งคนร่วมกันพยายามปล้นทรัพย์ของผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และจำเลยที่ 3 แต่ผู้เดียวที่มีหรือใช้อาวุธปืนในการกระทำผิดจึงต้องรับโทษหนักขึ้น จำเลยที่ 3 ทำปืนลั่นถูกผู้ตายจึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาทด้วย สำหรับข้อหาฐานร่วมกันมีและพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 ไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสามได้ เพราะโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามมีอาวุธและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่ได้รับใบอนุญาตแต่อย่างใด คงลงโทษจำเลยที่ 3 ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371แต่การที่จับกุมจำเลยที่ 3 และตรวจค้นพบอาวุธปืนพก ขนาด .38ไม่มีทะเบียน 1 กระบอก และกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 60 นัดได้ที่บ้านจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจำเลยทั้งสามเพียงแต่ใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะเดินทางไปมาถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดและถือไม่ได้ว่าจำเลยมีรถไว้ใช้ในการกระทำผิดพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 80, 52, 340 วรรคท้าย วางโทษจำคุกตลอดชีวิต เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 93 แต่โทษจำเลยที่ 2 เป็นจำคุกตลอดชีวิต ต้องห้ามมิให้เพิ่มตามมาตรา 51 จึงไม่เพิ่ม ส่วนจำเลยที่ 3 มีความผิดตามมาตรา 83, 80, 52, 340 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 340 ตรี วางโทษจำคุกตลอดชีวิตและจำเลยที่ 3 มีความผิดตามมาตรา 291 แต่การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 340 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 340 ตรี ซึ่งเป็นบทหนัก นอกจากนี้จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 72 วรรคแรก จำคุก 2 ปี และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 วางโทษปรับ 100 บาท แต่เมื่อวางโทษจำเลยที่ 3 เป็นจำคุกตลอดชีวิตแล้วจึงไม่นำโทษจำคุกในความผิดฐานอื่นมารวมเข้าอีก คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 เป็นจำคุกตลอดชีวิตและปรับ 100 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นอย่างมาก และเมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว สมควรลดโทษให้จำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 โดยลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งคงลงโทษจำคุก 25 ปี ลดโทษจำเลยที่ 2หนึ่งในสามเป็นจำคุก 33 ปี 4 เดือนและลดโทษจำเลยที่ 3 หนึ่งในสี่เป็นจำคุก 37 ปี 6 เดือน และปรับ 75 บาท จำเลยที่ 3 ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ริบซองพกหนังสีดำ 1 ซอง และหัวกระสุนปืน 1 หัว คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดข้อหาอื่นตามที่ศาลล่างวินิจฉัย แต่ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าในการจับกุมจำเลยที่ 3 เจ้าพนักงานยึดอาวุธปืนได้จากจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3จึงมีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตนั้นเห็นว่า ปรากฏข้อเท็จจริงในสำนวนว่าอาวุธปืนที่ยึดได้จากจำเลยที่ 3นั้นเป็นอาวุธปืนคนละกระบอกกันกับที่จำเลยที่ 3 ใช้ในการกระทำผิดในวันเกิดเหตุ ซึ่งตามฟ้องโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานมีอาวุธปืนกระบอกที่ยึดได้นี้แต่อย่างใด ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานมีอาวุธปืนดังกล่าวไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจึงเป็นการไม่ชอบ
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะจำเลยที่ 3 ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ คงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 340 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 340 ตรี และมาตรา 291แต่การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 340 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 340 ตรี ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 วางโทษจำคุกตลอดชีวิตและมีความผิดตามมาตรา 371 วางโทษปรับ 100 บาท จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบ มาตรา 53 เป็นจำคุก 37 ปี 6 เดือน และปรับ 75 บาท จำเลยที่ 3 ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share