คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 125/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีที่มีโทษจำคุกอย่างต่ำตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป เมื่อโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามข้อหาที่ให้การรับสารภาพ ศาลก็ลงโทษในข้อหานั้นไม่ได้ การที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าฝิ่นของกลางเป็นของผิดกฎหมาย จำเลยยังรับจ้างขับรถยนต์บรรทุกฝิ่นให้ผู้ขายฝิ่น นำมาส่งให้แก่ผู้รับซื้อ จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 8 ตุลาคม 2533 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2756/2533 ของศาลชั้นต้นได้ร่วมกันมีฝิ่นอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 จำนวน 26 ก้อน ปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 4.233 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ภายหลังจากจำเลยกับพวกได้ร่วมกันกระทำความผิดดังกล่าวแล้วจำเลยกับพวกได้ร่วมกันจำหน่ายฝิ่นอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2จำนวน 26 ก้อน มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 4.233 กิโลกรัมโดยการขายให้แก่ผู้มีชื่อโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยกับพวกได้พร้อมฝิ่นจำนวนดังกล่าวกับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนก-9954 นครราชสีมา ซึ่งทำเป็นช่องลับไว้ซุกซ่อนในรถยนต์คันดังกล่าวในครอบครองของจำเลยกับพวกเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7, 17, 69, 102 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 6, 10 ประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 69 (พ.ศ. 2529) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2529 ข้อ 1(100) ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรค 2 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53คงลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 25 ปี ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 17, 69 วรรคสี่นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมฝิ่นดิบของกลางซึ่งบรรทุกมากับรถยนต์คันของกลางที่จำเลยเป็นผู้ขับ มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายดาบตำรวจทองจิตต์ ขาวสบายเบิกความว่า นายวิทูลเสนอขายฝิ่นดิบจำนวน 3,000 กิโลกรัมให้แก่พยานโดยตกลงกันว่าส่งมอบที่จังหวัดเลย ราคากิโลกรัมละ6,000 บาท หากส่งมอบกันที่อำเภอหาดใหญ่กิโลกรัมละ 11,000 บาทต่อมาวันที่ 8 ตุลาคม 2533 เวลาประมาณ 11 นาฬิกา สายลับได้แจ้งให้พยานทราบว่าขณะนี้นายวิทูลหรือเทินกับพวกนำฝิ่นจำนวนที่สั่งซื้อเดินทางมาถึงอำเภอหาดใหญ่แล้ว พักรออยู่ที่ร้านอาหารอุตรโภชนาขอให้พันตำรวจโทสำเรียงไปพบพยาน พันตำรวจโทสำเรียงและสายลับได้ไปยังสถานที่ดังกล่าวพบนายวิทูลนั่งอยู่ นายวิทูลแจ้งแก่พยานและพันตำรวจโทสำเรียงว่ารถยนต์บรรทุกฝิ่นจอดอยู่ที่ปากซอย 34ถนนเพชรเกษม มีหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งเฝ้ารถยนต์อยู่พยานพันตำรวจโทสำเรียงสายลับและนายวิทูลได้ไปยังปากซอย 34ถนนเพชรเกษม พบรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ดสีน้ำตาล จอดอยู่ 1 คันนายวิทูลบอกว่าเป็นรถยนต์บรรทุกฝิ่น พยานกับพวกดังกล่าวลงจากรถและเดินตรงไปยังรถยนต์ดังกล่าวก็เห็นจำเลยเดินมา นายวิทูลแนะนำว่าจำเลยเป็นหุ้นส่วน แล้วนายวิทูลกับจำเลยช่วยกันเปิดฝากระโปรงท้ายรถ พันตำรวจโทสำเรียงเบิกความว่า ได้รับแจ้งจากสายลับว่าในวันที่ 8 ตุลาคม 2533 เวลา 10 นาฬิกา นายเทินจะนำฝิ่นดิบมามอบให้พยานที่ร้านอาหารอุดรโภชนา อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา เมื่อถึงวันเวลานัด พยาน นายดาบตำรวจทองจิตต์ขับรถยนต์ไปที่ร้านดังกล่าวพบนายเทินกับสายลับนั่งอยู่ นายเทินแจ้งให้ทราบว่านำฝิ่นดิบจำนวน 26 ก้อน มาส่ง นำมาโดยรถยนต์และจอดไว้ที่บริเวณปากซอย 34 ถนนเพชรเกษม มีหุ้นส่วนของนายเทินคนหนึ่งเฝ้าอยู่ พยาน นายดาบตำรวจทองจิตต์ สายลับและนายเทินได้ไปยังปากซอย 34 พบรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ดสีน้ำตาลคันหนึ่งจอดอยู่ พยานกับพวกดังกล่าวลงจากรถ เห็นจำเลยยืนอยู่ข้างรถยนต์ดังกล่าว นายเทินแจ้งว่าจำเลยเป็นหุ้นส่วนเดินทางมาพร้อมกัน นายเทินและนายดาบตำรวจทองจิตต์เดินไปยังรถยนต์ดังกล่าว จำเลยเปิดฝากระโปรงท้ายรถ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวเบิกความแตกต่างกันเกี่ยวกับการพบตัวจำเลย โดยนายดาบตำรวจทองจิตต์ เบิกความว่าเมื่อลงจากรถ เห็นจำเลยเดินมาสมทบ แต่พันตำรวจโทสำเรียงเบิกความว่า เห็นจำเลยยืนอยู่ข้างรถยนต์ของกลาง นอกจากนี้เมื่อจำเลยถูกจับแล้ว พยานโจทก์ทั้งสองได้แจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย นายดาบตำรวจทองจิตต์เบิกความว่า จำเลยให้การรับสารภาพ แต่พันตำรวจโทสำเรียงเบิกความว่า จำเลยให้การรับสารภาพว่าได้รับจ้างให้นำฝิ่นของกลางมาส่งที่อำเภอหาดใหญ่ ยิ่งกว่านั้นตามคำเบิกความของพันตำรวจโทสำเรียงและนายดาบตำรวจทองจิตต์ ไม่ปรากฏว่าจำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับการติดต่อซื้อยาเสพติดให้โทษเลยตั้งแต่ต้น คงได้ความตามคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวแต่เพียงว่า นายวิทูลบอกว่า จำเลยเป็นหุ้นส่วนเท่านั้น โดยนายวิทูลไม่ได้มาเบิกความในข้อนี้ คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองจึงมีน้ำหนักน้อย ประกอบกับจำเลยให้การทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่าจำเลยรับจ้างขับรถยนต์บรรทุกฝิ่นมาส่งที่อำเภอหาดใหญ่ พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับนายวิทูลมีฝิ่นไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาแต่คดีนี้มีโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 โจทก์มีหน้าที่พิสูจน์ให้ศาลเห็นจนเป็นที่พอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องจริง เมื่อโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามข้อหาที่ให้การรับสารภาพ ศาลก็ลงโทษในข้อหาความผิดที่รับสารภาพหาได้ไม่ แต่การที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าฝิ่นของกลางเป็นของผิดกฎหมายจำเลยยังรับจ้างขับรถยนต์บรรทุกฝิ่นให้นายวิทูลผู้ขายฝิ่นนำมาส่งให้แก่ผู้รับซื้อ จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นด้วยบางส่วน ฎีกาจำเลยฟังขึ้น อนึ่งของกลางถูกสั่งริบในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2756/2533 ของศาลชั้นต้นซึ่งถึงที่สุดไปแล้วที่ศาลล่างทั้งสองสั่งริบของกลางอีก เป็นการริบซ้ำไม่ถูกต้องเห็นสมควรแก้ไขในส่วนนี้ให้ถูกต้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานสนับสนุนการมีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและสนับสนุนการจำหน่ายฝิ่นตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 17, 69 วรรคสี่ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดหลายฐาน(บท) ซึ่งมีโทษเท่ากัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จึงให้ลงโทษฐานสนับสนุนการจำหน่ายฝิ่น จำคุกจำเลย 5 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือนกับให้ยกคำขอริบของกลาง

Share