คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโดยแกล้งเอาหินมากองไว้และเอาไม้ปักเป็นหลักกันไม่ให้โจทก์เอาเรือเข้าจอดในลำแม่น้ำระนองอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งโจทก์ได้ใช้สอยมานานทำให้โจทก์เสียหายหากเป็นจริงตามฟ้องโจทก์ก็เป็นผู้ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้

ย่อยาว

ได้ความตามแผนที่พิพาทว่า ที่ดินของโจทก์จำเลยด้านทิศเหนือมีเขื่อนกั้นติดต่อกับแม่น้ำระนอง แสดงว่า จากเขื่อนไปสู่แม่น้ำเป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้นำเรือนี้มาจอดล่ามไว้ในริมร่องน้ำลึกของแม่น้ำระนอง ห่างจากหน้าที่ดินโจทก์จำเลย 10 วาเศษนับเป็นเวลาติดต่อกันมาจนบัดนี้เป็นเวลา 10 ปีเศษแล้ว จำเลยได้เอาหลักปักไว้ 7 ต้น นอกแนวเสากันเรือและเอาหินรวม 15 คิวบิคเมตรมาทิ้งกองไว้ตรงที่เรือโจทก์เคยผูกจอด ทำให้โจทก์ผูกจอดเรือไม่ได้ดังเดิม เป็นการใช้สิทธิทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่า ได้ทำไว้ป้องกันไม่ให้เรือโจทก์กระแทกสะพานจำเลย ซึ่งหน้าที่ดินจำเลยห่างห้าเส้น

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและพิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาสืบพยานตามที่จำเป็นแล้วพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โดยแกล้งเอาหินมากองไว้และเอาไม้ปักหลักกันไม่ให้โจทก์เอาเรือเข้าจอดในลำแม่น้ำระนองอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งโจทก์ได้ใช้สอยมานาน ทำให้โจทก์เสียหาย หากเป็นจริงดังฟ้อง โจทก์ก็เป็นผู้ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ดังนี้ จำต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป

พิพากษายืน

Share