คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1554/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 21 บัญญัติให้ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้หรือทำให้ปรากฏในทาง เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ขับรถด้วยอัตราความเร็วต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด และเข้าสี่แยกในขณะมีสัญญาณจราจรไฟสีเขียวให้รถทางตรงในเส้นทางของจำเลยที่ 2 แล่นผ่านไปได้ ส่วนจำเลยที่ 1 ขับรถเลี้ยวขวาฝ่าฝืนสัญญาณจราจรตัดหน้ารถของจำเลยที่ 2 จนเป็นเหตุให้ชนกันขึ้นดังนี้ ถือว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทฝ่ายเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองขับรถประมาท โดยจำเลยที่ ๑ ขับรถเลี้ยวขวาที่สี่แยกตัดหน้ารถของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ขับรถด้วยความเร็วสูง เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกันได้รับความเสียหายและมีผู้ได้รับอันตรายแก่กาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองต่างขับรถโดยประมาทลงโทษปรับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถโดยสารประจำทางหมายเลขทะเบียน กท.๑๐ – ๒๘๙๘ ไปตามถนนสีลมมุ่งหน้าจะไปทางปลายถนนสีลม เมื่อไปถึงสี่แยกถนนสีลมตัดกับถนนมเหศักดิ์ – สุรศักดิ์รถโดยสารประจำทางที่จำเลยที่ ๒ ขับไปนั้นได้ชนรถบรรทุกหมายเลขทะเบียนพบ.๗๐-๐๓๗๐ ที่กระบะซ้ายค่อนมาด้านหลัง ซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับขี่สวนมาแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนมเหศักดิ์ รถทั้งสองคันชนกับบริเวณสี่แยกที่เกิดเหตุตามแผนทีสังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.๓ เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย และนางสมดีผู้โดยสารมากับรถโดยสารประจำทางได้รับอันตรายแก่กาย
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ ๒ ได้ขับรถโดยประมาทตามฟ้องด้วยหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่าขณะจำเลยที่ ๒ ขับรถโดยสารประจำทางมาใกล้จะถึงสี่แยก จำเลยที่ ๒ ย่อมจะเห็นรถบรรทุกคันที่จำเลยที่ ๑ ขับกำลังเลี้ยวขวาที่สี่แยกดังกล่าวอยู่ก่อนแล้ว แม้จำเลยที่ ๑ จะขับรถเลี้ยวขวาโดยฝ่าฝืนสัญญาณจราจรแต่เมื่อจำเลยที่ ๒ เห็นได้ในระยะห่างและมีรถเลี้ยวขวานำหน้ารถจำเลยที่ ๑ อยู่หลายคันจำเลยที่ ๒ ควรจะใช้ความระมัดระวังในการขับรถให้มากขึ้น ไม่ใช่จำเลยที่ ๒ จะถือว่าตัวเองได้รับสัญญาณไฟเขียวให้ขับผ่านสี่แยกไปได้แล้ว จะขับอย่างไรตามใจชอบโดยไม่ระมัดระวัง หากมีรถคันใดขับตัดหน้า จำเลยที่ ๒ ควรจะลดความเร็วลงและเตรียมห้ามล้อเสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดชนกันขึ้น แต่จำเลยที่ ๒ ขับรถด้วยความเร็วสูงและไม่ได้ชะลอความเร็วของรถแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒สามารถที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดชนกันดังกล่าวได้ตามวิสัยของผู้มีอาชีพขับรถโดยสารประจำทาง แต่จำเลยที่ ๒ หาได้ทำเช่นนั้นไม่ จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดฐานขับรถโดยประมาท พิเคราะห์แล้วในปัญหาข้อนี้ข้อเท็จจริงได้ความตามแผนที่สังเขปแสดงที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.๓ และคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกพินิจ คำอิ่มพนักงานสอบสวนว่าตรงสี่แยกที่เกิดเหตุมีสัญญาณจราจร ขณะเกิดเหตุสัญญาณไฟจราจรใช้งานได้ ดังนั้นผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจร ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๑ ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาณจราจรและเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้หรือทำให้ปรากฏในทาง ฯลฯ” และข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๒ ขับรถโดยสารประจำทางเข้าสี่แยกในอัตราความเร็วประมาณ ๓๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงขณะมีสัญญาณไฟจราจรสีเขียวให้รถทางตรงแล่นผ่านได้ ส่วนจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายขับรถบรรทุกเลี้ยวขวาเข้าถนนมเหศักดิ์ ฝ่าฝืนสัญญาณจราจรตัดหน้ารถจำเลยที่ ๒ เหตุที่รถทั้งสองคันชนกันเพราะจำเลยที่ ๑ ขับรถบรรทุกเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจำเลยที่ ๒ เช่นนี้ จำเลยที่ ๑ จึงเป็นผู้ขับรถโดยฝ่าฝืนสัญญาณจราจร ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ขับรถโดยปฏิบัติตามสัญญาณจราจรตามมาตรา ๒๒(๓) ซึ่งบัญญัติว่า”สัญญาณจราจรไฟสีเขียว ฯลฯ ให้ผู้ขับขี่ขับรถต่อไปได้ ฯลฯ” ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ มีสิทธิขับรถโดยสารประจำทางผ่านสี่แยกที่เกิดเหตุไปได้โดยชอบ แต่ในขณะเดียวกันนั้นจำเลยที่ ๑ ก็ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรโดยหยุดรถรอจนกว่าสัญญาณจราจรไฟลูกศรสีเขียวชี้ให้เลี้ยวจึงจะเลี้ยวขวาไปได้ ตามมาตรา ๒๒(๔) ซึ่งบัญญัติว่า “สัญญาณจราจรไฟสีแดงแสดงพร้อมกับลูกศรสีเขียวชี้ให้เลี้ยว ฯลฯ ให้ผู้ขับขี่เลี้ยวรถ ฯลฯ ไปได้ตามทิศทางที่ลูกศรชี้” ด้วย หากจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามสัญญาณจราจรโดยเคร่งครัดแล้ว รถทั้งสองคันจะไม่ชนกัน ส่วนที่โจทก์ฎีกาอีกประการหนึ่งว่าจำเลยที่ ๒ ขับรถด้วยความเร็วสูง ไม่ชะลอความเร็วของรถแต่อย่างใดและเตรียมห้ามล้อเสียแต่เนิ่น ๆ นั้น ก็ปรากฏตามข้อกำหนดเกี่ยวกับความเร็วของรถมาตรา ๖๗ บัญญัติว่า “ผู้ขับขี่ต้องขับรถด้วยอัตราความเร็วตามที่กำหนดในกฎกระทรวงหรือตามเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้ในทาง” และกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๒๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๑ บัญญัติว่า “ในกรณีปกติ ให้กำหนดความเร็วสำหรับรถดังต่อไปนี้
(๑) สำหรับรถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถรวมทั้งน้ำหนักบรรทุกเกิน ๑,๒๐๐ กิโลกรัมหรือรถบรรทุกคนโดยสาร ให้ขับในเขตกรุงเทพมหานคร ฯลฯ ไม่เกินชั่วโมงละ ๖๐ กิโลเมตร” แต่การที่จำเลยที่ ๒ ขับรถโดยสารเข้าสี่แยกที่เกิดเหตุในอัตราความเร็วประมาณ ๓๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังได้วินิจฉัยมาแล้วเช่นนี้จึงเห็นได้ว่า จำเลยที่ ๒ ได้ลดความเร็วลงต่ำกว่าความเร็วในกรณีปกติ ตามที่บัญญัติไว้ในกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๒๒) ข้อ ๑(๑) ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ด้วยเหตุผลดังได้วินิจฉัยมาแล้วจึงเห็นได้ว่าจำเลยที่ ๒ หาได้ขับรถตามใจชอบโดยไม่ระมัดระวังหรือขับรถด้วยความเร็วสูงไม่ลดความเร็วลง ดังที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาไม่ จำเลยที่ ๒ จึงมิได้ขับรถโดยประมาท
พิพากษายืน

Share