คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1019/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำยึดที่ดินของจำเลย แต่ปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์นำยึดนั้นศาลเคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดไว้แล้วในคดีเรื่องหนึ่งว่าเป็นของผู้ร้องคำพิพากษานั้นย่อมใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) เว้นแต่โจทก์จะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า โดยแสดงได้ว่าที่แปลงนั้นเป็นของจำเลย
เพียงแต่มีชื่อเป็นผู้แจ้งการครอบครองใน ส.ค.1 หาพอฟังว่าตนเป็นผู้ครอบครองที่ดินนั้นไม่

ย่อยาว

โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องขอให้ศาลสั่งปล่อย

โจทก์คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จำเลยครอบครองมากว่า20 ปี และตาม ส.ค.1 ก็ปรากฏชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ศาลชั้นต้นสั่งให้ถอนการยึดที่พิพาท

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่พิพาทได้เคยถูกโจทก์ในสำนวนคดีแพ่งเรื่องอื่นนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเพื่อขายทอดตลาดแล้วครั้งหนึ่ง และผู้ร้องได้ร้องขัดทรัพย์จนศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของผู้ร้องคดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาดังกล่าวจึงใช้ยันโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) เว้นแต่โจทก์จะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า โดยแสดงได้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยตนมีสิทธินำยึดมาขายทอดตลาดได้ โจทก์จึงจะชนะคดี แต่คดีนี้การนำสืบของโจทก์ในข้อที่ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยยังฟังไม่ได้ ที่โจทก์อ้างว่าใน ส.ค.1 มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ จำเลยจึงต้องเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่พิพาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเพียงแต่มีชื่อเป็นผู้แจ้งการครอบครองใน ส.ค.1 หาพอฟังว่าตนเป็นผู้ครอบครองที่ดินนั้นได้ไม่ เพราะผู้แจ้งอาจได้รับใช้จากเจ้าของผู้ครอบครองอันแท้จริงให้มาแจ้งแทนก็ได้ดังที่ผู้ร้องได้นำสืบว่า ตนให้จำเลยมาแจ้งการครอบครองแทนจนศาลฟังว่าที่พิพาทเป็นของผู้ร้อง จึงถือได้ว่าโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้อง

พิพากษายืน

Share