คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1645/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 มีเครื่องชั่งไว้ชั่งซื้อข้าวเปลือกจากผู้ขาย มิใช่ชั่งขาย เมื่อวัตถุที่มีน้ำหนักจริง 500 กิโลกรัมใช้เครื่องชั่งของจำเลยที่ 1 ชั่งจะได้น้ำหนัก 502 กิโลกรัมดังนี้ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเครื่องชั่งไว้ใช้เพื่อเอาเปรียบในการค้า ไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 270.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2530 เวลากลางวันจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันมีเครื่องชั่งแบบตุ้มเลื่อน พิกัดกำลัง 500กิโลกรัม จำนวน 1 เครื่อง ไว้ในความครอบครองของจำเลยทั้งสามซึ่งเครื่องชั่งดังกล่าวนี้เป็นเครื่องชั่งที่ผิดอัตรา กล่าวคือเมื่อใช้ชั่งน้ำหนักขั้น 1-500 กิโลกรัม น้ำหนักเกินจากมาตรฐานไป 2กิโลกรัมทุกขั้นทั้งนี้จำเลยทั้งสามมีเครื่องชั่งดังกล่าวไว้เพื่อเอาเปรียบในการค้า โดยมีไว้เพื่อใช้ชั่งข้าวเปลือกที่ซื้อจากลูกค้าผู้ขาย เหตุเกิดที่ตำบลพนา อำเภอพนา จังหวัดอุบลราชธานี ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติมาตรา ชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31,38 พระราชบัญญัติมาตรา ชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 แก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ. 2477 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270, 83, 32, 33พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบังคับให้ใช้วิธีมาตรา ชั่ง ตวง วัด และจำนวนหน่วยกับเครื่องชั่ง เครื่องตวง เครื่องวัด ที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติมาตรา ชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2464 (ที่ถูก พ.ศ. 2466)ในจังหวัดอุบลราชธานี ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2479 และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นคดีใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรา ชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31, 38ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270, 83, 32, 33 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 อันเป็นบทหนัก จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 เดือน ปรับ 3,080 บาท จำเลยทั้งสาม (ที่ถูกจำเลยที่ 1) ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน 15 วัน ปรับ 1,540 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ของกลางริบโทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำคุก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษและไม่ปรับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลฎีกามีคำสั่งให้รับไว้พิจารณาเพียงข้อเดียวว่าตามฟ้องของโจทก์ที่ว่าจำเลยที่ 1 มีเครื่องชั่งที่ผิดอัตราเมื่อใช้ชั่งน้ำหนักขั้น 1-500 กิโลกรัม น้ำหนักเกินจากมาตรฐานไป 2 กิโลกรัมทุกขั้น อันเป็นกรณีจำเลยที่ 1 มีเครื่องชั่งไว้ชั่งซื้อข้าวเปลือกจากผู้ขายมิใช่ชั่งขายนั้น จำเลยที่ 1 เอาเปรียบในการค้าหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องได้ความว่า เครื่องชั่งที่จำเลยที่ 1 มีไว้นั้น วัตถุที่มีน้ำหนักจริง 500 กิโลกรัมใช้เครื่องชั่งของจำเลยที่ 1 ชั่งจะได้น้ำหนัก 502 กิโลกรัม โดยจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายชั่งข้าวเปลือกที่ซื้อจากผู้ขาย เห็นได้ว่า ถ้าข้าวเปลือกที่ลูกค้านำมาขายจำเลยที่ 1 มีน้ำหนัก 500 กิโลกรัมใช้เครื่องชั่งของจำเลยที่ 1 จะได้น้ำหนักข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นอีก 2กิโลกรัมจึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 มีเครื่องชั่งดังกล่าวไว้เพื่อเอาเปรียบในการค้า การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 จำเลยที่ 1 คงมีความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรา ชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31, 38เท่านั้น…”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31, 38 จำคุก 2 เดือน ปรับ 1,000 บาทจำเลยที่ 1 รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา78 คงจำคุก 1 เดือน ปรับ 500 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยรับโทษจำคุกมาก่อน และจำเลยที่ 1 มิได้มีเครื่องชั่งตามฟ้องไว้เพื่อเอาเปรียบในการค้า จึงให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share