คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4468/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยก่อสร้างอาคารในที่ดินของตนทางด้านทิศใต้ มิได้รุกล้ำหรือปิดบังแสงสว่าง ก่อให้เกิดเสียงดังหรือมีฝุ่นละอองมายังบ้านโจทก์หรือเหตุอื่นหากมีเกินกว่าปกติ และโจทก์ยังสามารถเดินผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะได้ โดยเดินผ่านประตูเหล็กที่จำเลยทำไว้ให้เจ้าของที่ดินเดิมใช้เป็นทางเข้าออก แม้โจทก์จะไม่ได้รับความสะดวกเพราะต้องขออนุญาตจากเจ้าของที่ดินเดิมก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเกินที่ควรคาดหมายเป็นพิเศษ จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนอาคารตามฟ้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 18407 โจทก์และบริวารสามารถออกไปสู่ทางสาธารณะเพียงเส้นทางเดียวโดยผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 3643 ของจำเลยซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของที่ดินโจทก์และได้ใช้มาเป็นระยะเวลาประมาณ 37 ปี เมื่อเดือนสิงหาคม 2538 จำเลยก่อสร้างอาคารคอนกรีต 3 ชั้นบนที่ดินโฉนดเลขที่ 3643 ของจำเลยชิดที่ดินด้านทิศใต้ของโจทก์ บังหน้าที่ดินของโจทก์เป็นแนวยาวประมาณ 30 เมตรเป็นเหตุให้ปิดกั้นเส้นทางซึ่งโจทก์และบริวารเคยใช้เป็นทางออกไปสู่ทางสาธารณะเป็นการใช้สิทธิซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายเดือดร้อนเกินควรอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์และบริวาร ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารคอนกรีต 3 ชั้น ซึ่งปิดบังหน้าที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้ยาว 30 เมตร ออกทั้งหมด โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและปรับปรุงที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่า โจทก์ปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์ โจทก์และบริวารใช้ทางเดินผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 3643 แขวงสวนหลวงเขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร ทางด้านทิศใต้สู่ทางสาธารณะมาประมาณ30 ปี ส่วนทางด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตกและทางด้านทิศเหนือติดกับที่ดินของผู้อื่น ไม่สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ ต่อมาจำเลยได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 3643 ดังกล่าวแล้วได้ก่อสร้างอาคาร 3 ชั้น ทางด้านทิศใต้ปิดบังหน้าที่ดินของโจทก์ตลอดแนวยาวประมาณ 30 เมตร มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ปลูกในที่ดินของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยก่อสร้างอาคารในที่ดินของตน ธรรมดาแล้วย่อมไม่เป็นการละเมิด การกระทำที่เป็นละเมิดจะต้องดูผลของการกระทำนั้นว่าก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ กรณีนี้จำเลยก่อสร้างอาคารในที่ดินของตนทางด้านทิศใต้ ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใดแก่โจทก์ จึงไม่เป็นการละเมิด ทั้งอาคารที่ก่อสร้างก็มิได้รุกล้ำหรือปิดบังแสงสว่าง ก่อให้เกิดเสียงดังหรือมีฝุ่นละอองมายังบ้านโจทก์หรือเหตุอื่นหากมี เกินกว่าปกติ แต่จำเลยใช้สิทธิของตนในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์แม้จะมีผลทำให้โจทก์และบริวารไม่สามารถใช้ทางเดิมที่เคยเดินผ่านที่ดินของจำเลยสู่ทางสาธารณะได้ แต่ก็ได้ความว่าโจทก์ยังสามารถเดินผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะได้โดยเดินผ่านประตูเหล็กที่จำเลยทำไว้ให้เจ้าของที่ดินเดิมใช้เป็นทางเข้าออก แม้โจทก์จะไม่ได้รับความสะดวกเพราะต้องขออนุญาตจากเจ้าของที่ดินเดิมก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเกินที่ควรคาดหมายเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 นอกจากนี้การที่ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมรอบอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ก็ดีหรือโจทก์ใช้ทางเดินผ่านที่ดินของบุคคลอื่นเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีก็ดี หากโจทก์มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายอย่างใดโจทก์ชอบที่จะไปว่ากล่าวกันเป็นกรณีไป เมื่อฟังได้ว่าจำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนอาคารตามฟ้องได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share