แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะที่ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจำเลยกับผู้ร้องยังอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ร่วมกันประกอบกิจการค้าขายเสื้อผ้าจนกระทั่งจดทะเบียนตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดในเวลาต่อมา ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจึงเป็นทรัพย์ที่ได้มาระหว่างอยู่กินด้วยกัน แม้จะมีชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว ก็ต้องถือว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยและผู้ร้องทำมาหาได้ร่วมกันและมีเจตนาเป็นเจ้าของในทรัพย์ที่ทำมาหาได้ร่วมกัน จำเลยและผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน
เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมไม่มีสิทธิ์ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินพิพาทคงมีสิทธิเฉพาะที่จะร้องขอกันส่วนในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย ว. ผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชาย ว. ตั้งแต่ พ.ศ. 2528 จนกระทั่งเด็กชาย ว. อายุ 20 ปี เป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมศาลที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้นให้จำเลยนำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ คำขออื่น นอกจากนี้ให้ยก แต่จำเลยไม่ชำระโจทก์จึงขอหมายบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวโดยใช้เงินส่วนตัวซื้อมา จำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อทรัพย์ดังกล่าว ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนผู้ร้อง
โจทก์ให้การว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ยึดเป็นของจำเลย ผู้ร้องและจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 2 คน ผู้ร้องไม่ได้ทำงาน จำเลยซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยใส่ชื่อผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์เนื่องจากจำเลยเป็นคนต่างด้าว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับ ให้ถอนการยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ยึดไว้และคืนทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติได้ว่าผู้ร้องและจำเลยซึ่งเป็นคนสัญชาติญี่ปุ่นอยู่กินฉันสามีภริยากันตั้งแต่ปี 2528 มีบุตรด้วยกัน 2 คน คนแรกเกิดเมื่อ พ.ศ. 2529 คนที่ 2 เกิดเมื่อ พ.ศ. 2531 ต่อมา พ.ศ. 2532 ผู้ร้องจดทะเบียนซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท พ.ศ. 2536 จำเลยจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด โอ – ทู เท็กซ์ โดยมีจำเลย ผู้ร้อง และนางพัชนิชตา สำลี เป็นหุ้นส่วนผู้ร้องเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการประกอบกิจการค้าขายเสื้อผ้า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นของผู้ต้องหรือไม่ เห็นว่า ที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องมีอาชีพค้าขายเสื้อผ้าทั้งส่งออกและขายภายในประเทศ เงินที่ใช้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นของผู้ร้องผู้เดียว จำเลยไม่เคยช่วยออกเงินซื้อเลย จำเลยกับผู้ร้องเลิกกันนานแล้ว ผู้ร้องมิได้นำสืบให้ฟังได้โดยชัดแจ้งว่าจำเลยกับผู้ร้องเลิกกันเมื่อใด แต่กลับปรากฏว่าจำเลยจดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด โอ – ทู เท็กซ์ ภายหลังที่ผู้ร้องซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทพฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อได้ว่า ขณะที่ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจำเลยกับผู้ร้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ร่วมกันประกอบกิจการค้าขายเสื้อผ้าจนกระทั่งจดทะเบียนตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดในเวลาต่อมา ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจึงเป็นทรัพย์ที่ได้มาระหว่างอยู่กินด้วยกันแม้จะมีชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว ก็ต้องถือว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยและผู้ร้องทำมาหาได้ร่วมกันและมีเจตนาเป็นเจ้าของในทรัพย์ที่ทำมาหาได้ร่วมกัน จำเลยและผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ผู้ร้องในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท คงมีสิทธิที่จะร้องขอกันส่วนในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ถอนการยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.