แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดบางกรณีจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีบุคคลสองฝ่ายมาตกลงร่วมคบคิดกัน เช่น การจำหน่ายยาเสพติดให้โทษจะต้องมีผู้ขายฝ่ายหนึ่งกับผู้ซื้ออีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายมีเจตนาคนละอย่างกัน ผู้ขายมีเจตนาที่จะขายผู้ซื้อมีเจตนาที่จะซื้อ เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันที่จะขายและจะซื้อยาเสพติดให้โทษต่อกัน ก็ถือว่าได้สมคบโดยการตกลงร่วมคบคิดกันที่จะกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดแล้วตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรคหนึ่ง หาใช่ว่าจะต้องมีเจตนาเดียวกันหรือเจตนาร่วมกันไม่
จากการสอบสวนพยานหลักฐานต่าง ๆ พนักงานสอบสวนเชื่อว่าจำเลยและ ล. กระทำความผิดในข้อหาสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จึงเสนอต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ขออนุมัติแจ้งข้อหาดังกล่าวเพิ่มเติมและได้รับอนุมัติแล้ว พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่จำเลย แต่จำเลยให้การปฏิเสธ แม้โจทก์จะมิได้อ้างส่งบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นพยาน แต่จำเลยก็มิได้นำสืบปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งยังยอมรับว่าได้มีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่จำเลยว่าร่วมสมคบกับผู้อื่นกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษเพราะได้มีการสมคบกันแล้ว จึงฟังได้ว่าได้มีการสอบสวนจำเลยในข้อหาสมคบกันตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ โดยชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกับนายลิขิต เขียวงาม เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดโดยจำเลยตกลงซื้อเฮโรอีนจำนวน 8 ถุง น้ำหนักไม่ปรากฏชัดในราคา 800,000 บาท จากนายลิขิต เพื่อนำมาไว้ในครอบครองของจำเลยเพื่อจำหน่ายนายลิขิตได้ให้นายสว่าง เขียวงาม และนายทองดี ศรีวิชัย นำเฮโรอีนจำนวน 8 ถุง น้ำหนักไม่ปรากฏชัดไปส่งมอบให้จำเลย จำเลยได้ชำระเงิน 800,000 บาท เป็นค่าเฮโรอีนให้แก่นายลิขิตไป และจำเลยมีเฮโรอีนจำนวน 8 ถุง ซึ่งไม่อาจชั่งหาน้ำหนักได้ที่ซื้อมาจากนายลิขิตในราคา 800,000 บาท ไว้ในครอบครองของจำเลยเพื่อจำหน่ายและจำเลยจำหน่ายเฮโรอีนให้แก่ลูกค้าของจำเลยไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานจับนายสว่างและนายทองดีได้พร้อมธนบัตรจำนวน 800,000 บาท ที่จำเลยชำระค่าเฮโรอีนแก่นายลิขิต ตรวจพบเฮโรอีนมีน้ำหนักสุทธิ 2.25 กรัม ในรถยนต์โตโยต้า แผ่นป้ายทะเบียนแดงข – 7250 กรุงเทพมหานคร ที่นายสว่างและนายทองดีใช้เป็นอุปกรณ์และยานพาหนะในการนำเฮโรอีนไปส่งมอบแก่จำเลยขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 3, 4, 7, 8 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง ลงโทษจำคุก 20 ปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2538 เจ้าพนักงานตำรวจและเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดร่วมกันจับกุมนายสว่าง เขียวงาม และนายทองดี ศรีวิชัย ได้ในห้องพักเลขที่ 136 โรงแรมรอแยลอินน์ และพบกระเป๋าเดินทางผ้าลายพรางทหารบรรจุเงินสดเป็นธนบัตรไทยชนิดต่าง ๆ รวมจำนวน 800,000 บาท และมีคราบผงสีขาวติดอยู่ภายในกระเป๋าดังกล่าวกับรถยนต์โตโยต้าสีแดง แผ่นป้ายทะเบียนแดง ข – 7250 กรุงเทพมหานคร จอดอยู่หน้าห้องพัก บริเวณช่องลับใต้เบาะหลังของรถยนต์ดังกล่าวพบเฮโรอีนชนิดผงสีขาวตกอยู่ร่วมน้ำหนัก 2.25 กรัม จึงยึดไว้เป็นของกลางและจากการค้นตัวนายสว่างและนายทองดีพบกระดาษระบุชื่อเจ๊ทิพย์และนายลิขิต พร้อมหมายเลขโทรศัพท์อยู่ในกระเป๋าสตางค์ของบุคคลทั้งสอง เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อหาบุคคลทั้งสองว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เฮโรอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต นายสว่างและนายทองดีให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกันนำเฮโรอีนที่นายลิขิต เขียวงาม ตกลงขายแก่จำเลยมาส่งให้แก่จำเลยและรับเงินค่าเฮโรอีนจำนวน 800,000 บาท จากจำเลยไปมอบให้แก่นายลิขิตที่จังหวัดเชียงราย ต่อมาพนักงานอัยการได้ฟ้องดำเนินคดีแก่นายสว่างและนายทองดีในข้อหาร่วมกันมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนให้แก่จำเลยในราคา 800,000 บาท ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า นายสว่างและนายทองดีมีความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกนายสว่างและนายทองดีคนละ 33 ปี 4 เดือน ริบเฮโรอีน กระเป๋าผ้า และริบธนบัตรจำนวน 800,000 บาท
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยสมคบกับพวกเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดรายนี้หรือไม่ โจทก์มีนายจักรี เปรมสมิทธิ์ นายสรรพสารสิงหเศรษฐ นายธำรงค์ ลิ้มชัยกิจ และนายชำนาญ ลีจันทึก เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด มาเบิกความเป็นพยานสอดคล้องกันว่าได้สืบสวนและติดตามพฤติการณ์ของจำเลยมาตั้งแต่ปี 2533 จำเลยมีพฤติการณ์ค้ายาเสพติดให้โทษประเภทเฮโรอีน โดยติดต่อซื้อมาจากจังหวัดเชียงรายจากบุคคลหลายกลุ่ม แต่สำหรับคดีนี้จำเลยติดต่อซื้อจากนายลิขิต เขียวงาม ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 23 หมู่ที่ 9 ขุนน้ำบ้านจ้อง ซอย 2 ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ในการจับกุมนายสว่างและนายทองดี เจ้าพนักงานได้ค้นพบกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่กระเป๋าสตางค์ของคนทั้งสองซึ่งบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ 01-9326852, 01-4922054, 01-9247139 และ 5191874 ระบุว่าเป็นของเจ๊ทิพย์และหมายเลข 01-9507250, 01-9507245 ซึ่งระบุว่าเป็นของนายลิขิตตามเอกสารหมาย จ.45 และ จ.46 นายสรรพสารเบิกความยืนยันว่าคำว่าเจ๊ทิพย์ในกระดาษดังกล่าวหมายถึงจำเลยและหมายเลขโทรศัพท์ 5191874 เป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่บ้านพักของจำเลย หมายเลขโทรศัพท์ 01-9247139 เป็นหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลย ส่วนหมายเลขโทรศัพท์ 01-9326852 และ 01-4922054 มีชื่อของนายประยูร สันต์เกษม และนางสาวรัชนี โกมลวานิช ลูกน้องของจำเลยเป็นเจ้าของ แต่จำเลยเป็นผู้ใช้โทรศัพท์ดังกล่าวทั้งสองเครื่อง และหมายเลขโทรศัพท์ 01-9507245 เป็นหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายลิขิต นอกจากนี้นายสรรพสารยังได้เบิกความยืนยันอีกว่า ที่บ้านพักของนายลิขิตที่จังหวัดเชียงรายติดตั้งโทรศัพท์หมายเลข 646849 และจากการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ของหมายเลข 646849 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2537 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2538 ตามเอกสารหมาย จ.53 แผ่นที่ 6 และที่ 7 พบว่ามีการโทรศัพท์ไปยังเครื่องโทรศัพท์หมายเลข 01-9326852 และ 5191874 ซึ่งจำเลยเป็นผู้ใช้ในเดือนธันวาคม 2537 รวม 1 ครั้ง ในเดือนมกราคม 2538 รวม 18 ครั้ง และในเดือนกุมภาพันธ์ 2538 ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 13 รวม 10 ครั้ง และมีการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 01-9326852ของจำเลย ปรากฏว่าตั้งแต่เดือนกันยายน 2537 ถึงเดือนธันวาคม 2537 มีการใช้โทรศัพท์ติดต่อไปยังเครื่องโทรศัพท์หมายเลข 053-646849 ซึ่งเป็นโทรศัพท์ที่บ้านพักของนายลิขิต เดือนละไม่น้อยกว่า 4 ถึง 5 ครั้ง ตามรายละเอียดการใช้โทรศัพท์เอกสารหมาย จ.54 และจากเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 01-4922054 ซึ่งจำเลยเป็นผู้ใช้ไปยังโทรศัพท์หมายเลข 053-646849 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2538 รวม 4 ครั้ง ตามรายงานการคิดเงินค่าโทรศัพท์เอกสารหมาย จ.55 นอกจากนี้พยานได้เคยติดตามนายลิขิตซึ่งเดินทางโดยเครื่องบินจากจังหวัดเชียงรายมายังกรุงเทพมหานครจากท่าอากาศยานกรุงเทพพบว่านายลิขิตขึ้นรถยนต์แท็กซี่ไปยังบ้านของจำเลยที่ซอยรอดอนันต์ 5 ถนนรามอินทรา และเมื่อนายลิขิตออกจากบ้านจำเลยก็ได้เดินทางกลับไปที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ ขึ้นเครื่องบินกลับจังหวัดเชียงรายรวม 2 ครั้ง ได้มีการแอบบันทึกภาพไว้ด้วยตามภาพถ่ายหมาย จ.25 แสดงให้เห็นว่ามีการติดต่อกันระหว่างจำเลยกับนายลิขิตอย่างสม่ำเสมอและใกล้ชิด นายธำรงค์ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประจำหน่วยปราบปรามยาเสพติดในภาคเหนือเบิกความว่า เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2538 ได้รับแจ้งจากนายจักรีซึ่งปฏิบัติงานอยู่ที่กรุงเทพมหานครให้ติดตามนายลิขิตซึ่งจะเดินทางกลับจากกรุงเทพมหานครโดยเครื่องบินไปลงที่สนามบินจังหวัดเชียงรายในเวลา 15.30 นาฬิกา พยานกับพวกจึงไปสังเกตการณ์ที่สนามบินจังหวัดเชียงรายเวลา 15.45 นาฬิกา เห็นนายลิขิตเดินออกจากสนามบินไปขึ้นรถยนต์กระบะอีซูซุสีเทา หมายเลขทะเบียน ผ – 5381 ลำปาง แล่นออกจากสนามบิน พยานกับพวกจึงขับรถติดตามไป รถยนต์กระบะที่นายลิขิตนั่งไปแล่นไปจอดที่บ้านเลขที่ 23 หมู่ที่ 9 ขุนน้ำบ้านจ้อง ซอย 2 ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และพยานได้เห็นรถยนต์กระบะโตโยต้าสีแดง แผ่นป้ายทะเบียนแดง ข – 7250 กรุงเทพมหานคร จอดอยู่ด้วย พยานได้ทำรายงานเสนอผู้บังคับบัญชาไว้ตามเอกสารหมาย จ.60 ซึ่งต่อมามีการจับกุมนายสว่างและนายทองดีได้พร้อมกับเงินจำนวน 800,000 บาท เจ้าพนักงานยังได้ยึดรถยนต์กระบะโตโยต้า แผ่นป้ายทะเบียนแดง ข – 7250 กรุงเทพมหานคร ซึ่งคนทั้งสองใช้เป็นยานพาหนะขับมาจากจังหวัดเชียงรายเป็นของกลางด้วย ซึ่งทั้งนายสว่างและนายทองดีรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนว่านายลิขิตได้จ้างให้ขับรถยนต์กระบะดังกล่าวขนเฮโรอีนมาส่งให้แก่จำเลยและรับเงินค่าเฮโรอีนจำนวน 800,000 บาท จากจำเลยไปส่งให้แก่นายลิขิต เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์สอดคล้องเชื่อมโยงกัน พยานโจทก์ทุกปากต่างเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติงานไปตามหน้าที่ และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีสาเหตุที่จะเบิกความหรือข่มขู่บังคับให้นายสว่างและนายทองดีให้ให้การปรับปรำจำเลย ที่จำเลยนำสืบว่าเคยถูกเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ขอให้ไปพบเพื่อจะช่วยเหลือจำเลยในเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติดแต่จำเลยไม่ไป จึงทำให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นไม่พอใจ ขู่อาฆาตไว้นั้น ก็มีตัวจำเลยเบิกความลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง จำเลยเองก็ยอมรับว่าโทรศัพท์หมายเลข 5191874 เป็นโทรศัพท์ที่บ้านพักของตน แต่อ้างว่าที่บ้านพักของจำเลยมีห้องแบ่งให้บุคคลอื่นเช่าพักอาศัยจำนวน 3 ห้อง โทรศัพท์หมายเลขดังกล่าวได้ติดตั้งเครื่องโทรศัพท์แบบหยอดเหรียญไว้ใกล้หน้าต่าง ผู้เช่าสามารถใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ได้โดยไม่ต้องเข้ามาในบ้านจำเลย และนางสาวรัชนีซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับนายลิขิตก็เป็นผู้เช่าห้องพักของจำเลยอยู่ เป็นทำนองว่าโทรศัพท์จากบ้านพักของนายลิขิตมายังหมายเลข 5191874 อาจเป็นการโทรศัพท์ถึงนางสาวรัชนีหรือผู้เช่ารายอื่นซึ่งไม่ใช่จำเลยก็เป็นได้นั้น เห็นว่า โทรศัพท์ดังกล่าวติดตั้งอยู่ในบ้านจำเลย เมื่อมีผู้โทรศัพท์เข้ามายังเครื่องโทรศัพท์ดังกล่าวจำเลยหรือบุคคลในบ้านของจำเลยจะต้องเป็นผู้รับ และหากผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาต้องการพูดกับนางสาวรัชนีหรือผู้เช่ารายอื่น จำเลยหรือคนในบ้านจำเลยต้องทราบแล้วเป็นผู้เรียกบุคคลนั้น ๆ ให้มารับสาย แต่ตามคำเบิกความของจำเลยมิได้เบิกความถึงเลยว่าจำเลยหรือบุคคลในบ้านจำเลยจะต้องไปตามหรือเรียกนางสาวรัชนีหรือผู้เช่าคนอื่นใดให้มารับสายบ่อยครั้งมากน้อยเพียงใด ทั้งจำเลยก็มิได้มีพยานอื่นใดมาเบิกความถึงในข้อนี้ข้ออ้างของจำเลยจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้น้อย นางสาวรัชนีเองก็มีหลักฐานตามเอกสารหมาย จ.49 ว่าเป็นผู้ขอใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 01-4922054 โดยเริ่มใช้เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2538 แต่ได้ระบุที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์สำหรับส่งใบแจ้งค่าบริการใช้โทรศัพท์ว่า เลขที่ 101/10 ซอยรอดอนันต์ 5 แขวงจรเข้บัว เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 01-9247139 ซึ่งเป็นที่อยู่ของจำเลย และนายสรรพสารพยานโจทก์ยืนยันว่าหมายเลขโทรศัพท์ 01-9247139 เป็นหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลย จำเลยอ้างว่านางสาวรัชนีเป็นผู้เช่าห้องพักของจำเลย และมีอาชีพค้าขายอยู่ในตลาดแถวบ้านพักของจำเลย แต่จากรายงานรายละเอียดการคิดเงินค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 01-4922054 ตามเอกสารหมาย จ.55 ปรากฏว่าตั้งแต่วันที่ 13 ถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2538 มีจำนวนการใช้โทรศัพท์สูงเป็นจำนวน 25 ครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยสำหรับคนที่ต้องเช่าห้องพักผู้อื่นอยู่ และมีอาชีพค้าขายในตลาด ประกอบกับหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ 01-4922054 มีบันทึกไว้ในกระดาษจดหมายเลขโทรศัพท์เอกสารหมาย จ.46 ที่ยึดได้จากกระเป๋าสตางค์ของนายทองดีขณะถูกจับกุมโดยในเอกสารดังกล่าวระบุชื่อเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวว่าเจ๊ทิพย์หมายถึงจำเลย นับว่าสอดคล้องกับข้อที่โจทก์นำสืบว่านางสาวรัชนีเป็นลูกน้องจำเลย และจำเลยเป็นผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 01-4922054 ของนางสาวรัชนี นอกจากนี้จากหลักฐานการโอนเงินจากกรุงเทพมหานครโดยมีชื่อนายกฤษณะ นายมงคล และนายศักดิ์ชัยเป็นผู้นำส่งไปเข้าบัญชีของนายลิขิต ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาเชียงราย จำนวน 10 ฉบับ คือในช่วงเดือนสิงหาคม 2537 จำนวน 6 ครั้ง คือในวันที่ 9, 24, 25, 26, 29 และ 30 จำนวนเงิน 300,000 บาท 350,000 บาท 360,000 บาท 70,000 บาท 180,000 บาท และ 350,000 บาท ตามลำดับ และในช่วงเดือนกันยายน 2537 อีกจำนวน 4 ครั้ง คือวันที่ 2, 8, 9 และ 12 จำนวนเงิน 410,000 บาท 335,000 บาท 480,000 บาท และ 674,500 บาทตามลำดับ ซึ่งมีการระบุหมายเลขโทรศัพท์ของผู้นำส่งว่า 5191874 ซึ่งเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่บ้านพักของจำเลย จากพฤติการณ์ที่โจทก์ได้นำสืบมาว่าจำเลยกับนายลิขิตได้มีการติดต่อกันทางโทรศัพท์เดือนละหลายครั้งอย่างสม่ำเสมอ นายลิขิตเคยเดินทางโดยเครื่องบินจากจังหวัดเชียงรายไปที่บ้านพักของจำเลยในกรุงเทพมหานครแล้วเดินทางกลับจังหวัดเชียงรายโดยมิได้แวะทำธุรกิจที่แห่งอื่นใด ทั้งมีการโอนเงินไปให้นายลิขิตหลายครั้ง ครั้งละจำนวนเป็นแสนบาท เชื่อได้ว่าจำเลยกับนายลิขิตได้ร่วมกันดำเนินธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่งในลักษณะปกปิด ซ่อนเร้น สอดคล้องกับรายงานการสืบสวนของเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดว่าจำเลยประกอบธุรกิจในการค้าเฮโรอีน โดยสั่งซื้อเฮโรอีนมาจากนายลิขิตหรือผู้ขายเฮโรอีนทางภาคเหนือแล้วนำมาจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในกรุงเทพมหานคร การที่เจ้าพนักงานได้จับกุมนายสว่างและนายทองดีเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2538 พร้อมกับเงินจำนวน 800,000 บาท และยึดได้กระดาษแผ่นเล็กระบุชื่อจำเลยและนายลิขิตพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ของคนทั้งสองจำนวนหลายหมายเลขจากทั้งนายสว่างและนายทองดี ซึ่งคนทั้งสองก็ให้การรับสารภาพต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนว่าคนทั้งสองได้นำเฮโรอีนจำนวนหนึ่งของนายลิขิตมาส่งให้แก่จำเลยและได้รับเงินค่าเฮโรอีนจำนวน 800,000 บาท จากจำเลย จะนำกลับไปให้แก่นายลิขิตก็พอดีถูกจับกุมเสียก่อน แม้โจทก์จะไม่มีหลักฐานว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวไว้และเงินจำนวน 800,000 บาท ที่ยึดได้นั้นเป็นของจำเลย แต่พยานแวดล้อมที่โจทก์ได้นำสืบมาประกอบคำรับสารภาพของนายสว่างและนายทองดีเพียงพอให้มีน้ำหนักและรับฟังได้ว่า การที่นายสว่างและนายทองดีนำเฮโรอีนจำนวนหนึ่งมาส่งมอบให้แก่ลูกค้าและรับเงินค่าเฮโรอีนจำนวน 800,000 บาท ไว้ เป็นการจำหน่ายเฮโรอีนตามคำสั่งซื้อของจำเลย พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้นสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดบางกรณีจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีบุคคลสองฝ่ายมาตกลงร่วมคบคิดกัน เช่นการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ จะต้องมีบุคคลซึ่งเป็นผู้ขายฝ่ายหนึ่ง กับบุคคลซึ่งเป็นผู้ซื้ออีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายมีเจตนาคนละอย่างกัน ผู้ขายมีเจตนาที่จะขายผู้ซื้อมีเจตนาที่จะซื้อ เมื่อทั้งสองฝ่ายมาตกลงร่วมกันที่จะขายและจะซื้อยาเสพติดให้โทษต่อกัน ก็ได้ถือว่าได้สมคบโดยการตกลงร่วมคบคิดกันที่จะกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดแล้ว ไม่ใช่ว่าจะต้องมีเจตนาเดียวกันหรือเจตนาร่วมกันดังที่จำเลยฎีกา ดังนั้น จำเลยจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้สมคบกันกับพวกกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้นำสืบว่าได้มีการสอบสวนในความผิดฐานสมคบกันตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 8 จึงฟังไม่ได้ว่ามีการสอบสวนข้อหานี้โดยชอบแล้วนั้น เห็นว่าโจทก์มีร้อยตำรวจโทบุญพา ปาระแม พนักงานสอบสวนมาเบิกความว่าหลังจากที่ได้สอบสวนพยานหลักฐานต่าง ๆ แล้วเชื่อว่าจำเลยและนายลิขิตสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 ได้ทำเรื่องเสนอต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพื่อขออนุมัติแจ้งข้อหาดังกล่าวเพิ่มเติมและได้รับอนุมัติแล้วตามหนังสือแจ้งคำสั่งอนุมัติแจ้งข้อหาเอกสารหมาย จ.64 พยานจึงได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่จำเลยตามที่ได้รับอนุมัติซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ แม้โจทก์จะมิได้อ้างส่งบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นพยานเพราะเหตุที่จำเลยให้การปฏิเสธ แต่จำเลยก็มิได้นำสืบปฏิเสธหรือหักล้างคำเบิกความของร้อยตำรวจโทบุญพา กลับเบิกความรับว่าพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่จำเลยว่า ร่วมสมคบกับผู้อื่นกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าในชั้นสอบสวนได้มีการสอบสวนจำเลยในความผิดฐานสมคบกันตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 โดยชอบแล้ว ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน