แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ข้อเท็จจริงที่ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคนร้ายที่ขับรถยนต์และใช้ไม้ถูพื้นไล่ตามทำร้ายผู้ตายกับพวก จะแตกต่างจากที่โจทก์กล่าวในคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันขับรถยนต์ไล่ชนทำร้ายผู้ตาย แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็เป็นเพียงข้อแตกต่างเกี่ยวกับวิธีการประทุษร้าย อันมิใช่สาระสำคัญแห่งคดี เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความดังกล่าวได้
การที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไล่ทำร้ายผู้ตายกับพวกในระยะกระชั้นชิดโดยถือไม้ถูพื้นชูออกนอกรถยนต์เพื่อข่มขู่ผู้ตายกับพวกไปตลอดทาง โดยมีเจตนาจะทำร้ายผู้ตายกับพวก และผลจากการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้ตายต้องขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงเพื่อหลบหนีการถูกไล่ทำร้ายจนเกิดเหตุชนกับรถยนต์กระบะที่จอดอยู่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา จำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 289 (4), 290
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 จำเลยที่ 3 ถึงแก่ความตายศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก จำคุกคนละ 3 ปี จำเลยที่ 1และที่ 2 ใช้ค่าเสียหายให้แก่บิดาของผู้ตายเป็นที่พอใจ เป็นการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิด และทางนำสืบของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 2 ปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 รู้จักกับนางสาวสุพรรณษาหรือซันนี่ มาก่อนเกิดเหตุ โดยจำเลยที่ 2 เคยเป็นคู่รักของนางสาวสุพรรณษา เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2548 เวลาประมาณ 23 นาฬิกา นางสาวสุพรรณษา นางสาวเป้ นายสุริยนต์ และผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ไปดื่มสุราที่สถานบันเทิงซีซ่าผับ ภายในโรงแรมบูรพา ตำบลในเมืองอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ และพบจำเลยทั้งสามนั่งดื่มสุราอยู่ก่อน ครั้นเวลาประมาณ 2 นาฬิกา ของวันที่ 26 ตุลาคม 2548 สถานบันเทิงซีซ่าผับปิดบริการนายสุริยนต์กับนางสาวสุพรรณษาเดินไปยังที่จอดรถจักรยานยนต์บริเวณใต้ถุนโรงแรมเพื่อขับรถจักรยานยนต์กลับบ้าน โดยมีจำเลยที่ 1 และที่ 2 อยู่ในบริเวณใกล้เคียง และเกิดเหตุคนร้ายเป็นชายใช้ขวดสุราตีทำร้ายนายสุริยนต์จนขวดสุราแตก นายสุริยนต์จึงขับรถจักรยานยนต์พานางสาวสุพรรณษานั่งซ้อนท้ายหลบหนี โดยแจ้งให้ผู้ตายซึ่งจอดรถจักรยานยนต์อยู่บริเวณหน้าโรงแรม ทราบเหตุและชักชวนให้หลบหนีไปด้วยกัน ระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฟอร์ด หมายเลขทะเบียน กง – 6353 พิษณุโลก ติดตามไป เมื่อนายสุริยนต์กับผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ติดตามกันไปตามถนนคลองค้าพัฒนาตำบลในเมือง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นถนนกว้างประมาณ 6 เมตรแบ่งเป็น 2 ช่องเดินรถสวนทางกัน และมีรถยนต์กระบะยี่ห้อฟอร์ด หมายเลขทะเบียน บต – 9100 เพชรบูรณ์ ของนายสุนทร จอดอยู่บนผิวจราจรหน้าบ้านเลขที่ 45/3 หันหัวรถยนต์สวนทางกับทางเดินรถ ผู้ตายซึ่งขับรถยนต์ด้วยความเร็ว ได้ชนกับรถยนต์ของนายสุนทรบริเวณหน้ารถด้านขวาทำให้ผู้ตายลอยไปกระแทกกับกำแพงบ้านข้างเคียงบ้านพักของนายสุนทร จนผู้ตายได้รับอันตรายสาหัสกะโหลกศีรษะและกระดูกโหนกแก้มแตกและมีบาดแผลตามใบหน้าหลายแห่งต้องรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล 53 วัน และถึงแก่ความตายในวันที่ 19 ธันวาคม 2548 ตามผลการชันสูตรบาดแผลและรายงานการชันสูตรพลิกศพ ต่อมาวันที่ 9 มกราคม 2549 จำเลยทั้งสามเข้ามอบตัวต่อพันตำรวจโทกิตติพงษ์ พนักงานสอบสวนร่วมและให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย แต่ปฏิเสธความผิดในเหตุฉกรรจ์ว่ากระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่ แม้ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์จะแตกต่างจากที่โจทก์กล่าวบรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันขับรถยนต์ไล่ชนทำร้ายผู้ตาย แต่ก็เป็นเพียงข้อแตกต่างเกี่ยวกับวิธีการประทุษร้าย อันมิใช่สาระสำคัญแห่งคดี เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความดังกล่าวได้ และเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไล่ทำร้ายผู้ตายกับพวกในระยะกระชั้นชิดตั้งแต่โรงแรมบูรพาจนถึงสถานที่เกิดเหตุ โดยถือไม้ถูพื้นชูออกนอกรถยนต์เพื่อข่มขู่ผู้ตายกับพวกไปตลอดทาง โดยมีเจตนาจะทำร้ายผู้ตายกับพวก และผลจากการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้ตายที่ขับรถจักรยานยนต์ตามหลังรถจักรยานยนต์ของนายสุริยนต์ต้องขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงเพื่อหลบหนีการถูกไล่ทำร้าย จนเกิดเหตุชนกับรถยนต์กระบะของนายสุนทรที่จอดอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุทำให้ผู้ตายได้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ตามเจตนาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่สามารถเล็งเห็นผลได้แล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำย่อมมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน