คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4732/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยที่ 1 จะเปลี่ยนชื่อตัว แต่ยังคงอยู่ในบ้านที่ตนมีชื่ออยู่ในสำเนาทะเบียนบ้าน โดยมิได้ย้ายที่อยู่แต่อย่างใด ทั้งข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 หลบหนี ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นเจ้าพนักงานตำรวจต้องย้ายที่อยู่ไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชามิใช่เป็นการหลบหนีไปจากเคหสถานที่เคยอยู่แต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์คงฟังได้แต่เพียงว่าโจทก์ไม่ทราบภูมิลำเนาที่แน่นอนของจำเลยทั้งสามและไม่สามารถที่จะสืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามได้เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา คดีถึงที่สุดแล้ว คิดถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 93,177.27 บาท จำเลยทั้งสามหลบหนีไปจากเคหสถานที่เคยอยู่เพื่อประวิงการชำระหนี้หรือมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้และจำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ยื่นคำให้การและจำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 มีอาชีพรับราชการ เหตุที่ย้ายจากที่อยู่เดิมเพราะย้ายไปรับราชการในที่แห่งใหม่ จำเลยที่ 2 มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 1 เปลี่ยนชื่อตัวจาก”กฤษณา” เป็น “นิรมล” เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2528 และยังคงอยู่ในบ้านที่ตนมีชื่ออยู่ในสำเนาทะเบียนบ้าน มิได้ย้ายที่อยู่แต่อย่างใด นอกจากนี้ทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏเลยว่าจำเลยที่ 1 ได้หลบหนีไป ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องย้ายที่อยู่ไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชามิใช่เป็นการหลบหนีไปจากเคหสถานที่เคยอยู่ตามที่โจทก์ฟ้องแต่อย่างใด สำหรับที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้นั้น ปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ว่าได้ให้นายสนิท หาญอาษาทนายโจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสาม นายสนิทแจ้งว่าไม่สามารถที่จะยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามได้เนื่องจากไม่ทราบภูมิลำเนาที่แน่นอนของจำเลยทั้งสาม จำเลยที่ 1 เคยรับราชการอยู่ที่กรมตำรวจและเคยเป็นภริยาของพันตำรวจตรีวิชัย แต่ปัจจุบันไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 ประกอบอาชีพอะไรและนายสนิทเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้องแถวที่จำเลยที่ 1 เช่าอาศัยและได้มองดูจากภายนอกไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สินอยู่ในบ้านดังกล่าว นอกจากนี้นายสนิทยังเบิกความอีกว่านายสนิทเข้าใจว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีทรัพย์สินและไม่สามารถที่จะสืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามได้จึงไม่ได้ดำเนินการยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสามศาลฎีกาเห็นว่า คดีล้มละลายโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัวโดยต้องนำสืบให้ได้ว่ามีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 เกิดขึ้น แต่คดีนี้พยานหลักฐานของโจทก์มีแต่เพียงคำเบิกความของโจทก์และนายสนิทซึ่งเป็นทนายโจทก์ดังกล่าวข้างต้นรับฟังได้เพียงว่า โจทก์ไม่ทราบภูมิลำเนาที่แน่นอนของจำเลยทั้งสามและไม่สามารถที่จะสืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามได้เท่านั้น พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงยังไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังว่าจำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้พฤติการณ์แห่งคดียังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัว”

พิพากษายืน

Share