คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4464/2554

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยให้การปฏิเสธว่า ไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์ จำเลยไม่เคยมอบอำนาจให้ ว. ไปจดทะเบียนจำนองที่ดินตามฟ้องไว้แก่โจทก์ ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย แต่เป็นลายมือชื่อปลอม ภาระการพิสูจน์ในปัญหานี้จึงตกแก่โจทก์ แต่คำเบิกความของพยานโจทก์มีพิรุธหลายประการ เพราะโจทก์ไม่มีสัญญากู้หรือหลักฐานการรับเงินของจำเลยมาแสดงต่อศาล นอกจากนี้โจทก์ไม่ยื่นบัญชีระบุพยานอ้าง ว. หรือผู้ลงชื่อเป็นพยาน 2 คน ในหนังสือมอบอำนาจซึ่งเป็นพยานรู้เห็นโดยตรงเป็นพยานสนับสนุนให้ได้ความตามข้ออ้างของตน ทั้งเมื่อศาลตรวจดูลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจเปรียบเทียบกับลายมือชื่อที่แท้จริงของจำเลยที่ลงไว้ในสารบบที่ดิน เห็นว่า ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริงของจำเลย แต่เป็นลายมือชื่อปลอม เพราะคุณสมบัติของการเขียนรูปลักษณะของตัวอักษรแตกต่างกับลายมือชื่อที่แท้จริงของจำเลย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยมอบอำนาจให้ ว. นำที่ดินตามฟ้องไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันไว้แก่โจทก์ หนังสือสัญญาจำนองจึงไม่ผูกพันจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 391,875 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 150,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดิน น. ส. 3 ก. เลขที่ 509 ตำบลคำแก้ว อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดหนองคาย ออกขายทอดตลาดใช้หนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายรอยพิมพ์ ทายาทของจำเลยเข้าเป็นคู่ความแทน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 391,875 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 150,000 บาท นับแต่วันฟ้องวันที่ 1 สิงหาคม 2544 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดิน น. ส. 3 ก. เลขที่ 509 ตำบลคำแก้ว อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดหนองคาย ออกขายทอดตลาดใช้หนี้แก่โจทก์จนครบ ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 นางวัลภา นำหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ล. 1 ซึ่งโจทก์กรอกข้อความว่า จำเลยมอบอำนาจให้นางวัลภา นำที่ดินตามฟ้องจดทะเบียนจำนองประกันหนี้เงินกู้แก่โจทก์ ไปจดทะเบียนจำนองที่ดินตามฟ้องไว้แก่โจทก์ โดยหนังสือสัญญาจำนองไม่มีข้อความระบุว่าให้ถือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม ตามเอกสารหมาย จ. 1 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกู้และรับเงิน 150,000 บาท จากโจทก์ โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินตามฟ้องเป็นประกันเงินกู้ไว้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์ จำเลยไม่เคยมอบอำนาจให้นางวัลภาไปจดทะเบียนจำนองที่ดินตามฟ้องไว้แก่โจทก์ ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย แต่เป็นลายมือชื่อปลอม ภาระการพิสูจน์ในปัญหานี้จึงตกแก่โจทก์ โดยโจทก์มีตัวโจทก์และนายมนตรี เป็นพยานเบิกความได้ความว่า เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 จำเลยกู้และรับเงิน 150,000 บาท จากโจทก์ที่บ้านโจทก์ ซึ่งอยู่ที่อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย กำหนดชำระหนี้คืนภายใน 1 ปี โดยจำเลยมอบอำนาจให้นางวัลภาไปจดทะเบียนจำนองที่ดินตามฟ้องเป็นประกันหนี้เงินกู้ดังกล่าวตามหนังสือสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ. 1 และ น. ส. 3 ก. ของที่ดินตามเอกสารหมาย จ. 2 กับยืนยันว่า จำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจต่อหน้าโจทก์ เมื่อจดทะเบียนจำนองเสร็จจำเลยจึงรับเงินกู้ไปจากโจทก์ เห็นว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวมีพิรุธหลายประการ เพราะโจทก์ไม่มีสัญญากู้หรือหลักฐานการรับเงินของจำเลยมาแสดงต่อศาล แต่โจทก์ตอบทนายจำเลยถามค้านยืนยันว่า ในวันดังกล่าวมีการทำสัญญากู้และจำเลยลงลายมือชื่อในสัญญากู้ต่อหน้าโจทก์ ครั้นทนายจำเลยถามต่อ โจทก์กลับเบิกความว่า จำไม่ได้ว่ามีสัญญากู้ที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้หรือไม่ ผิดวิสัยของผู้ให้กู้ทั่วไปที่จะต้องจดจำเรื่องดังกล่าวได้แม่นยำ เพราะให้เงินแก่ผู้ที่ตนไม่รู้จักกู้ไปถึง 150,000 บาท ส่วนเรื่องที่อ้างว่าจำเลยมอบอำนาจให้นางวัลภานำที่ดินตามฟ้องไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันและจำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจต่อหน้าโจทก์นั้นมีพิรุธเช่นกัน เพราะโจทก์เพิ่งอ้างเรื่องดังกล่าวเมื่อทนายจำเลยนำสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ล. 1 ซึ่งโจทก์และจำเลยรับรองความถูกต้องให้โจทก์ดู โดยจำเลยเป็นฝ่ายอ้างสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ล. 1 ประกอบคำซักค้าน เมื่อพิจารณาว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารสำคัญในคดีนี้ซึ่งโจทก์ควรจะอ้างเป็นพยาน แต่โจทก์ขอสารบบของที่ดินตามฟ้องมาแล้วกลับอ้างเพียงสำเนา น. ส. 3 ก. ของที่ดินตามฟ้องเป็นพยานประกอบคำเบิกความของตัวโจทก์เท่านั้น นอกจากนี้โจทก์ไม่ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างนางวัลภาหรือผู้ลงชื่อเป็นพยาน 2 คน ในหนังสือมอบอำนาจซึ่งเป็นพยานรู้เห็นโดยตรงเป็นพยานสนับสนุนให้ได้ความตามข้ออ้างของตน คงอ้างนายมนตรีเป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความว่าเห็นขณะจำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจ ซึ่งก็ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ เพราะไม่ปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ว่านายมนตรีรู้เห็นเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจหรืออยู่ด้วยในวันที่โจทก์อ้างว่าจำเลยมากู้และจำนองที่ดินตามฟ้องไว้แก่โจทก์ ยิ่งกว่านั้นเมื่อศาลฎีกาพิจารณาหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย ล. 1 ปรากฏว่าหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมิได้ทำขึ้นที่บ้านโจทก์ในวันเดียวกับที่โจทก์อ้างว่าจำเลยมาขอกู้และจำนองที่ดินเป็นประกัน เพราะโจทก์เขียนระบุในหนังสือมอบอำนาจว่าเขียนที่บ้านจำเลยเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2533 และเมื่อตรวจดูลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจในเอกสารหมาย ล. 1 เปรียบเทียบกับลายมือชื่อที่แท้จริงของจำเลยซึ่งลงชื่อไว้ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2533 ถึงปี 2521 ตามที่ปรากฏในสารบบที่ดินเอกสารหมาย จ. 5 ซึ่งมิได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว เห็นว่า ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริงของจำเลย แต่เป็นลายมือชื่อปลอม เพราะคุณสมบัติของการเขียน รูปลักษณะของตัวอักษรแตกต่างกับลายมือชื่อที่แท้จริงของจำเลย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยมอบอำนาจให้นางวัลภานำที่ดินตามฟ้องไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันไว้แก่โจทก์ หนังสือสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ. 1 จึงไม่ผูกพันจำเลย โจทก์จึงตกเป็นฝ่ายแพ้คดีโดยไม่จำต้องชั่งน้ำหนักของพยานจำเลยอีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share