คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 446-447/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญายอมความในคดีก่อนมีความว่าเมื่อปลูกสร้างโรงภาพยนตร์เสร็จแล้วจำเลยจะจัดให้โจทก์ได้เช่าตั้งร้านขายเครื่องดื่มที่หน้าโรงภาพยนตร์นั้นตามสัญญาไม่ได้ระบุว่าที่ๆ จะจัดให้โจทก์เช่านั้นจะต้องเป็นห้องใช้เป็นที่อยู่อาศัยอย่างใด คงเพียงแต่จะจัดที่เพื่อตั้งร้านขายเครื่องดื่มหน้าโรงภาพยนต์เท่านั้นเมื่อจำเลยผิดสัญญายอมความแล้วโจทก์จะกลับมาฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายที่ไปเซ้งห้องผู้อื่นเพื่ออยู่อาศัยและประกอบการค้าเพียงประการเดียวเช่นนี้ เป็นการไกลกว่าเหตุ ไม่ใช่เป็นค่าเสียหายซึ่งตามปกติย่อมเกิดขึ้นแก่การผิดสัญญาอันโจทก์พึงจะได้ตามกฎหมาย
ค่าเสียหายที่โจทก์ควรจะได้ในการผิดสัญญารายนี้ก็คือค่าขาดประโยชน์ที่เคยได้จากการเช่าขายเครื่องดื่มอยู่เดิมหรือที่จะได้เช่าใหม่ตามสัญญายอมความนั้น แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องตั้งประเด็นเรียกค่าเสียหายในข้อนี้อย่างใดเลยและเพราะเหตุที่โจทก์ไม่ได้ฟ้องตั้งประเด็นเรียกค่าเสียหายอันควรจะได้ตามกฎหมายดังกล่าวมานี้ศาลก็ไม่อาจจะกำหนดค่าเสียหายในข้อนี้ให้โจทก์ตามสมควรได้เพราะว่าเป็นการนอกประเด็นตามคำฟ้อง

ย่อยาว

คดี 2 สำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน

โจทก์ฟ้องความทำนองเดียวกันว่า เดิมจำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ทั้ง2 สำนวน ต่อศาลแขวงพระนครใต้โดยขอให้บังคับจำเลย (คือโจทก์ทั้งสองนี้) และบริวารออกไปจากห้องชั้นล่างของโรงภาพยนตร์เท็กซัส ในคดีนั้นโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาลว่า”จำเลยและบริวารยอมออกจากห้องพิพาทตามฟ้องให้เสร็จเรียบร้อยภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2498 เพื่อให้โจทก์จัดการปลูกสร้างใหม่ เมื่อปลูกสร้างเสร็จแล้ว โจทก์จะจัดให้จำเลยทั้งสองได้เช่าตั้งร้านขายเครื่องดื่มที่หน้าโรงภาพยนตร์ตามที่จะได้ตกลงกันต่อไปตามสมควรมีกำหนดระยะเวลาเช่า 3 ปี เมื่อโจทก์ขนย้ายออกไปและจำเลยปลูกสร้างใหม่เสร็จแล้ว จำเลยว่าไม่มีที่ ๆ จะให้โจทก์เช่า ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คือ ต้องไปหาเซ้งห้องเพื่ออยู่อาศัยและประกอบอาชีพโดยนายสีเกียวโจทก์เสียค่าเซ้ง 90,000 บาท นายมิ่งเฮียงโจทก์เสียค่าเซ้ง 120,000 บาท แต่ขอเรียกร้องเพียง 100,000 บาท เพราะจำเลยไม่มีที่ให้โจทก์เช่าตามสัญญายอมความ ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต้องกัน ปฏิเสธความรับผิด จำเลยเป็นเพียงผู้เช่าโรงภาพยนตร์ เจ้าของโรงภาพยนตร์เป็นผู้ควบคุมการดัดแปลงและต่อเติมทั้งสิ้นและขยายโรงภาพยนตร์ออกไปจนเต็มที่ไม่มีที่ว่างพอจะให้โจทก์เช่าที่ตั้งขายเครื่องดื่มตามสัญญายอมความได้จำเลยไม่ต้องรับผิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 เจตนาที่แท้จริงในการยอมความนั้น จำเลยเพียงแต่จะให้โจทก์เช่าที่ว่างอยู่ตอนหน้าโรงภาพยนตร์ส่วนหนึ่งให้เป็นที่ตั้งขายเครื่องดื่ม ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยไม่ใช่ค่าเสียหายโดยตรง ไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดจากที่โจทก์ไม่ได้เช่าที่ว่างขายเครื่องดื่มหน้าโรงภาพยนตร์เป็นค่าเสียหายไกลกว่าเหตุ

คู่ความรับกันว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญายอมความต่อศาลแขวงพระนครใต้ตามฟ้องจริง

ศาลแพ่งเห็นว่า กรณีที่จำเลยผิดสัญญาต่อโจทก์เช่นนี้ โจทก์ก็ชอบที่จะเรียกค่าเสียหายฐานขาดประโยชน์ที่เคยได้จากที่อยู่เดิมไม่ใช่ค่าที่ต้องไปหาที่อยู่ใหม่ ค่าที่ไปหาที่อยู่ใหม่เป็นผลไกลกว่าเหตุจากการผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในข้อนี้และโจทก์ก็มิได้เรียกค่าเสียหายอย่างอื่น ศาลจึงไม่อาจพิจารณาค่าเสียหายฐานผิดสัญญาให้โจทก์ได้ และศาลแพ่งยังเห็นต่อไปว่า ที่โจทก์นำสืบว่าได้ทำการเซ้งห้องและเสียค่าเซ้ง ไม่เป็นความจริงพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองคดี

โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าคดีคงมีข้อพิจารณาแต่ในเรื่องค่าเสียหายว่าจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด ตามสัญญายอมความว่า เมื่อปลูกสร้างเสร็จแล้ว จำเลยจะจัดให้โจทก์ทั้งสองได้เช่าตั้งร้านขายเครื่องดื่มที่หน้าโรงภาพยนตร์ตามที่จะได้ตกลงกันต่อไปตามสมควร ตามสัญญาไม่ได้ระบุว่าที่ ๆ จะจัดให้โจทก์เช่านั้น จะต้องเป็นห้องใช้เป็นที่อยู่อาศัยอย่างใด คงเพียงแต่จะจัดที่เพื่อตั้งร้านขายเครื่องดื่มหน้าโรงภาพยนตร์เท่านั้น การที่จำเลยผิดสัญญายอมความแล้วโจทก์กลับมาฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายที่ไปเซ้งห้องผู้อื่นเพื่ออยู่อาศัยและประกอบการค้า เช่นนี้ เห็นได้ว่าเป็นการไกลกว่าเหตุ ไม่ใช่เป็นค่าเสียหายซึ่งตามปกติย่อมเกิดขึ้นแก่การผิดสัญญาอันโจทก์พึงจะได้ตามกฎหมาย ค่าเสียหายที่โจทก์ควรจะได้ในการผิดสัญญานี้ ก็คือ ค่าขาดผลประโยชน์ที่เคยได้จากการเช่าขายเครื่องดื่มอยู่เดิมหรือที่จะได้เช่าใหม่ตามสัญญายอมความนั้นแต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องตั้งประเด็นเรียกค่าเสียหายในข้อนี้อย่างใดเลยคงฟ้องเรียกค่าเสียหายแต่เฉพาะเงินค่าเซ้งห้องประการเดียวเท่านั้นศาลจะให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามฟ้องไม่ได้ แต่เฉพาะคดีนี้ศาลฎีกาเห็นต่อไปว่าเมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญายอมความกับโจทก์ซึ่งโจทก์ควรจะได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลยแต่กลับมาถูกยกฟ้องเสียเช่นนี้ เป็นเรื่องน่าเห็นใจโจทก์อยู่มากสมควรให้โอกาสโจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าเสียหายในกรณีนี้จากจำเลยตามที่ถูกที่ควรต่อไปจึงพิพากษายืนให้ยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสองที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายในกรณีนี้ต่อไป

Share