คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4454/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 2 นำบิลเงินสดซึ่งตนรู้อยู่ว่าเป็นเอกสารปลอมไปแสดงต่อกรมสรรพากรพร้อมกับให้ถ้อยคำประกอบเพื่อขอเงินภาษีคืนจากกรมสรรพากร จนกรมสรรพากรคืนเงินภาษีอากรให้แก่จำเลยที่ 1 ผู้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปกระทำการดังกล่าว การกระทำของจำเลยถือว่า เกิดความเสียหายแก่กรมสรรพากรแล้ว จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารปลอมด้วย
โทษปรับนิติบุคคลจะกักขังแทนเงินไม่ได้ จึงจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจำเลยที่ ๒ เป็นสมุห์บัญชีของจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ทำบัญชีรายรับรายจ่ายและงบดุลของจำเลยที่ ๑ และยื่นแบบแสดงรายการการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของจำเลยที่ ๑ กับยื่นคำร้องขอเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลของจำเลยที่ ๑ คืนจากกรมสรรพากร เมื่อระหว่างต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๗ ถึงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ มีคนร้ายปลอมเอกสารบิลเงินสด (ใบเสร็จรับเงิน) ของห้างฯ เจริญอุดมขึ้นทั้งฉบับระบุว่าห้างฯ เจริญอุดม ขายเหล็กชนิดต่าง ๆ ให้จำเลยที่ ๑ ในรอบปี ๒๕๑๗ จำนวน ๔๐ ฉบับ เป็นเงิน ๓,๐๐๓,๕๐๔ บาท และในรอบปี ๒๕๑๘ จำนวน ๒๑ ฉบับ เป็นเงิน ๑,๔๒๒,๕๔๐.๖๐ บาท อันเป็นข้อความเท็จ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่พบเห็นบิลเงินสดจำนวน ๖๑ ฉบับดังกล่างหลงเชื่อว่า บิลเงินสดนั้นเป็นเอกสารสิทธิที่แท้จริง ความจริงห้างฯ เจริญอุดม ไม่เคยติดต่อค้าขายเหล็กให้จำเลยที่ ๑ และไม่ได้ออกบิลเงินสดค่าขายเหล็กเป็นหลักฐานการรับเงินมอบให้จำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด การกระทำดังกล่าวน่าจะเกิดความเสียหายแก่ห้างฯ เจริญอุดมและประชาชน ต่อมาจำเลยทั้งสองร่วมกันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายต่อกรมสรรพากร โดยอ้างว่าในรอบปี ๒๕๑๗ และ ๒๕๑๘ จำเลยที่ ๑ ยังมีผลขาดทุนสุทธิ โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันนำบิลเงินสดจำนวน ๖๑ ฉบับ อันเป็นเอกสารสิทธิปลอมดังกล่าว ซึ่งจำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าเป็นเอกสารสิทธิปลอมยื่นแสดงต่อเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรทำการตรวจสอบ ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลผู้ตรวจสอบและผู้พบเห็นบิลเงินสดดังกล่าว หลงเชื่อว่าบิลเงินสดนั้นเป็นเอกสารสิทธิที่แท้จริง ซึ่งห้างฯ เจริญอุดม ออกให้ไว้เป็นหลักฐานค่าซื้อเหล็กชนิดต่าง ๆ เพื่อจะได้ขอคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลต่อกรมสรรพากรดังกล่าวอันเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสองน่าจะเกิดความเสียหายแก่กรมสรรพากร ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๘, ๘๑ และรับบิลเงินสดของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘, ๘๓ ลงโทษปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๒ ปี หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ รับบิลเงินสดของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา ๒๖๘, ๘๓ ลงโทษปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๖,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อปี ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรต่อกรมสรรพากรโดยอ้างว่า ได้ชำระภาษีในรอบปี ๒๕๑๗ และ ๒๕๑๘ เกินไปและได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ นำสมุดบัญชี เอกสารบิลเงินสดปี ๒๕๑๗ จำนวน ๔๐ ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.๕ และบิลเงินสดปี ๒๕๑๘ จำนวน ๖๑ ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.๕ ไปแสดงต่อกรมสรรพากร เพื่อให้ตรวจสอบยอดขาดทุนสะสมหักลดกับเงินภาษีอากรที่ชำระไว้แล้ว กรมสรรพากรตรวจสอบเสร็จแล้วเชื่อว่า บิลเงินสดจำนวน ๖๑ ฉบับ เป็นเอกสารที่ใช้เป็นหลักฐานประกอบการลงบัญชีถูกต้องแล้วจึงคำนวณหักลดยอดเงินขาดทุนให้และจ่ายเงินภาษีอากรคืนจำเลยที่ ๑ จำนวน ๔๒,๕๔๒.๒๗ บาท และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บิลเงินสดเอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๕ เป็นเอกสารปลอม ในข้อหาจำเลยที่ ๑ ใช้เอกสารปลอม ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ว่า จำเลยที่ ๑ รู้อยู่แล้วว่าบิลเงินสดเอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๕ ที่นำไปแสดงต่อกรมสรรพากรในการขอหักค่าใช้จ่ายและขอภาษีคืนนั้นเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ ๑ จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม โจทก์และจำเลยที่ ๑ มิได้ฎีกา คดีสำหรับจำเลยที่ ๑ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ใช้เอกสารปลอมดังกล่าวหรือไม่ พยานโจทก์ที่นำสืบมาน่าเชื่อว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ซื้อเหล็กตามบิลเงินสดเอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๕ มาจริง จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีของจำเลยที่ ๑ ผู้รับผิดชอบ รวบรวมบิลเงินสดลงสมุดบัญชีรายวันซื้อ รายวันขาย และบัญชีแยกประเภท จึงมีหน้าที่ต้องตรวจสอบว่าบิลเงินสดดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ จำเลยที่ ๒ ติดต่อซื้อเหล็กเส้นจากห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญอุดมมานาน ย่อมต้องทราบถึงลักษณะลายมือเขียนใบเสร็จ ลายมือชื่อผู้รับเงิน และแบบฟอร์มใบเสร็จที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร ถ้าเชื่อว่ามีการซื้อขายเหล็กกันจริง จึงนำบิลเงินสดดังกล่าวมาลงบัญชี น่าเชื่อว่าจำเลยที่ ๒ รู้เรื่องความเป็นมาของบิลเงินสดเอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๕ มาแต่ต้นจนกระทั่งส่งให้กรมสรรพากรตรวจสอบและจำเลยที่ ๒ รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๑ ไปให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร เกี่ยวกับเรื่องเอกสารดังกล่าว ตามบันทึกคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.๓๕ ที่จำเลยที่ ๒ อ้างว่า ไม่รู้ว่าเป็นเอกสารปลอมจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ รู้อยู่ว่าบิลเงินสดเอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๕ เป็นเอกสารปลอม เมื่อจำเลยที่ ๒ รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๑ นำเอกสารดังกล่าวไปแสดงต่อกรมสรรพากร จนกรมสรรพากรคืนเงินภาษีอากรแก่จำเลยที่ ๑ ถือได้ว่าเกิดความเสียหายแก่กรมสรรพากรแล้ว จำเลยที่ ๒ ย่อมมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ ๑ ใช้เอกสารปลอมด้วย แม้ว่าโจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕, ๒๖๘, ๘๓ ก็ตาม คดีได้ความจากพยานโจทก์ว่า จำเลยที่ ๒ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ใช้บิลเงินสดเอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๕ ปลอม โจทก์สืบสมตามฟ้อง ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่าโจทก์อ้างบทมาตราผิด ขอให้ยกฟ้องนั้นเห็นว่า เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างบทมาตราผิด ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจแก้บทลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น อนึ่ง คดีนี้ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยที่ ๑ เพียงปรับสถานเดียว หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลจะกักขังแทนเงินค่าปรับไม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองให้กับขัง

Share