คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4453/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์กำหนดให้จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์แต่ในคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเฉพาะสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิตระบุไว้ชัดเจนว่า เพื่อการชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ อันเกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิต รวมทั้งเพื่อถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากผ่านเครื่องฝาก – ถอนเงินอัตโนมัติ ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมเกี่ยวเนื่องจากใช้บัตรเครดิตทั้งสิ้น เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกได้ชำระเงินให้เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลัง เป็นการเรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปก่อนตามลักษณะของการประกอบธุรกิจประเภทบัตรเครดิต อันเป็นเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณีซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 171 กำหนดให้เพ่งเล็งถึงเจตนาที่แท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร เมื่อหลักฐานการแจ้งหนี้ที่จำเลยค้างชำระบัตรเครดิตครั้งสุดท้ายในวันที่ 25 สิงหาคม 2536 โดยไม่มีการเคลื่อนไหวทางบัญชีอีก ซึ่งโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 25เมษายน 2540 พ้นกำหนด 2 ปี จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2534 จำเลยได้ทำสัญญาการใช้บัตรเครดิต กับเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเฉพาะสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิตกับโจทก์ เพื่อใช้เป็นบัญชีหักทอนการชำระหนี้เมื่อจำเลยนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้ซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการ โจทก์จะจ่ายแทนไปก่อน แล้วเรียกเก็บจากจำเลยทุกเดือนโดยวิธีหักเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 533-6-70087-8 ของจำเลยหากเงินในบัญชีไม่มีหรือมีไม่พอจ่ายให้ถือว่าเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชี หลังจากจำเลยรับบัตรเครดิตจากโจทก์แล้ว ได้นำบัตรเครดิตไปใช้ซื้อสินค้า ชำระค่าบริการตลอดจนเบิกถอนเงินสดหลายครั้งแต่จำเลยไม่นำเงินเข้าบัญชีให้ครบถ้วนตามที่โจทก์เรียกเก็บ โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและทวงถาม ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 44,640.53 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีจากต้นเงินจำนวน 41,187.55 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยยื่นคำขอสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตและเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์เพื่อความสะดวกในการชำระหนี้ของจำเลยเท่านั้น ไม่มีเจตนาที่จะใช้เป็นบัญชีเดินสะพัดต่อกัน โจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไป เมื่อพ้นกำหนด 2 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2534 โจทก์ได้ออกบัตรเครดิตให้แก่จำเลยโดยมีวงเงินสำหรับซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการจำนวน 20,000 บาท และวงเงินสำหรับเบิกเงินสดจำนวน 20,000 บาท ในวันเดียวกันจำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์เพื่อใช้หักทอนบัญชีหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยและทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเฉพาะสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิตกับโจทก์ด้วย จำเลยได้นำบัตรเครดิตไปซื้อสินค้าและชำระค่าบริการรวมทั้งเบิกถอนเงินสดหลายครั้ง ครั้งสุดท้าย ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2536คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ และเรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์มิได้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตโดยเฉพาะแต่ได้กำหนดให้ลูกค้าเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เพื่อใช้บัญชีดังกล่าวหักทอนหนี้อันเนื่องจากการใช้บัตรเครดิตด้วย หนี้ที่เกิดขึ้นจึงเป็นหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี และเป็นมูลหนี้บัญชีเดินสะพัดซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความโดยตรง จึงต้องใช้อายุความ10 ปี อันเป็นอายุความทั่วไป คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่าแม้โจทก์กำหนดให้จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์แต่ในคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและสัญญาเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีเฉพาะสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิตเอกสารหมาย จ.5 ระบุไว้ชัดเจนในข้อ 1 และข้อ 2 ว่า มีความมุ่งหมายเพื่อการชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆอันเกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิต รวมทั้งเพื่อถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากผ่านเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมอันเกี่ยวเนื่องจากใช้บัตรเครดิตทั้งสิ้น ดังนั้น หนี้ที่เกิดขึ้นจึงหาใช่หนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีหรือมูลหนี้บัญชีเดินสะพัดโดยตรงดังที่โจทก์ฎีกาโต้แย้งไม่ หากแต่เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกได้ชำระเงินให้เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังอันเป็นการเรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปก่อนตามลักษณะของการประกอบธุรกิจประเภทบัตรเครดิตอันเป็นเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณีทั้งนี้เป็นไปตามหลักการตีความการแสดงเจตนาซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 171 กำหนดให้เพ่งเล็งถึงเจตนาที่แท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร สิทธิเรียกร้องของโจทก์ดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) เมื่อหลักฐานการแจ้งหนี้ที่จำเลยค้างชำระบัตรเครดิตครั้งสุดท้ายในวันที่ 25 สิงหาคม 2536ตามเอกสารหมาย จ.10 แผ่นที่ 3 โดยไม่มีการเคลื่อนไหวทางบัญชีนับแต่บัดนั้นซึ่งโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 25เมษายน 2540 พ้นกำหนด 2 ปี สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share