คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 448/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับในขณะที่กำลังก้มเงยอยู่ข้างประตูด้านคนขับรถกระบะคันที่เกิดเหตุ โดยมีลูกกุญแจ 2 ดอก กุญแจล็อกประตูรถกระบะอยู่ในกระเป๋าเสื้อจำเลย ส่วนประตูรถกระบะเปิดได้และพบประแจบล็อก3 ทาง กับไขควงวางอยู่ที่เบาะคนขับ ประตูรถด้านคนขับมีร่องรอยงัดแงะตรงช่องกุญแจส่วนกุญแจหายไป จำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าพี่ชายให้มาเอารถแต่ลืมกุญแจจึงงัดรถเข้าไป ส่วนเงิน 1,000 บาท ที่จำเลยมีติดตัวอยู่นั้นเตรียมไว้เป็นค่าน้ำมันรถพฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยงัดประตูรถกระบะเข้าไปโดยมีไม้บรรทัดเหล็กไขควง ประแจบล็อก 3 ทาง กุญแจ 2 ดอก และไฟฉายเป็นอุปกรณ์ ถึงแม้กุญแจ 2 ดอกไม่มีเขี้ยวและไม่ปรากฏว่าใช้ไขสตาร์ทรถกระบะได้หรือไม่ก็ตาม แต่ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยแล้วว่าต้องการใช้อุปกรณ์เหล่านั้นเป็นเครื่องมือเพื่อเอารถกระบะไปเมื่อจำเลยสามารถงัดประตูรถกระบะจนเปิดออก และงัดเอากุญแจล็อกประตูรถออกไปได้ ถือได้ว่าเป็นการลงมือเพื่อจะเอารถกระบะไปโดยทุจริตแล้ว เมื่อไม่สามารถเอารถกระบะไปได้จะด้วยเหตุเพราะยังไม่ได้ทำลายกุญแจล็อกเกียร์หรือเพราะมีเจ้าพนักงานตำรวจมาพบการกระทำความผิดของจำเลยเสียก่อนก็ดี การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ไม้บรรทัดเหล็กยาว 1 ฟุต และไขควง เป็นเครื่องมืองัดประตูรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6 ฎ – 2521 กรุงเทพมหานคร อันเป็นสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์จนเปิดออก แล้วลักเอาเครื่องเล่นแผ่นเสียง (ซี.ดี.) ของนางสาวยุวดี แซ่ภู่ ผู้เสียหาย ที่เก็บรักษาไว้ในรถยนต์คันดังกล่าวไป ต่อมาจำเลยลักเอารถยนต์คันดังกล่าวของบริษัทพารา ซูมิ-ไทย ลิสซิ่ง จำกัด ขณะอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายไป โดยใช้ไม้บรรทัดเหล็กยาว 1 ฟุต และไขควง ที่จำเลยเตรียมมางัดประตูรถยนต์แล้วถอดเอากุญแจประตูรถยนต์คันดังกล่าวออก จำเลยได้ลงมือกระทำความผิดแล้วแต่กระทำไปไม่ตลอด เนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจมาพบเห็นและเข้าขัดขวางจำเลยเสียก่อน จำเลยจึงลักเอารถยนต์คันดังกล่าวไปไม่สำเร็จสมดังเจตนาของจำเลย เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยไขควงเหล็ก 1 อัน ประแจบล็อกเหล็ก 3 ทาง 1 อัน ไฟฉาย 1 กระบอก ลูกกุญแจรถยังไม่ได้ทำเขี้ยว 2 ดอก ไม้บรรทัดเหล็ก 1 อัน ซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด และกุญแจประตูรถยนต์คันดังกล่าว กับสลักเกลียว (นอตเหล็กตัวผู้) สำหรับขันยึดกุญแจประตูรถยนต์ ซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 335ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 14,000 บาท แก่ผู้เสียหายริบไขควง ประแจบล็อกเหล็ก ไฟฉาย ลูกกุญแจไขรถยนต์ที่ยังไม่ได้ทำเขี้ยวและไม้บรรทัดเหล็กของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1) วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 80 จำคุก 3 ปี ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ริบไขควง ประแจบล็อกเหล็ก ไฟฉายลูกกุญแจรถยนต์ที่ยังไม่ได้ทำเขี้ยว และไม้บรรทัดเหล็กของกลาง ยกฟ้องข้อหาลักทรัพย์เครื่องเล่นแผ่นเสียง (ซี.ดี.) และยกคำขอที่ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 14,000 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง จำเลยได้ถอดกุญแจประตูรถกระบะของผู้เสียหายโดยใช้ไม้บรรทัดเหล็ก ไขควง ลูกกุญแจ 2 ดอก ประแจบล็อก 3 ทางและไฟฉายเป็นอุปกรณ์ในการถอด หลังจากนั้นสิบตำรวจเอกสมควร บุญเหลือ และสิบตำรวจตรีเรืองศิลป์ ดวงกางใต้ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวางได้เข้าจับกุมจำเลยไว้ได้ พร้อมทั้งยึดไม้บรรทัดเหล็ก ไขควง ลูกกุญแจ 2 ดอกประแจบล็อก 3 ทาง ไฟฉาย และกุญแจประตูรถกระบะของผู้เสียหาย ปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยพยายามลักรถกระบะของผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีสิบตำรวจเอกสมควร บุญเหลือ และสิบตำรวจตรีเรืองศิลป์ ดวงกางใต้ เป็นพยานเบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุพยานทั้งสองได้ร่วมกันออกตรวจท้องที่ถึงบริเวณที่เกิดเหตุพบจำเลยกำลังก้มเงยอยู่ข้างรถกระบะหมายเลขทะเบียน 6 ฎ-2521 กรุงเทพมหานคร ตรงประตูคนขับ จึงขอตรวจค้นตัวจำเลย พบไม้บรรทัดเหล็กเสียบอยู่ที่เอวด้านหน้า ลูกกุญแจไม่มีเขี้ยว 2 ดอก กุญแจล็อกประตูรถกระบะและนอตสำหรับยึดกุญแจอยู่ในกระเป๋าเสื้อของจำเลย ไฟฉาย 1 กระบอก ซึ่งจำเลยถืออยู่และเงินจำนวน 1,000 บาท เมื่อตรวจในรถกระบะพบไขควงและประแจบล็อกเหล็ก 3 ทาง วางอยู่ที่เบาะคนขับ ตรวจบริเวณประตูรถด้านที่นั่งคนขับมีรอยงัดแงะใหม่ ส่วนกุญแจล็อกประตูรถหายไป จำเลยอ้างว่าพี่ชายของจำเลยให้จำเลยมาเอารถแต่ลืมกุญแจไว้ในรถ จึงต้องงัดประตูรถเข้าไป ส่วนเงินจำนวน 1,000 บาท นั้น จำเลยเตรียมไว้เพื่อเติมน้ำมันรถ พยานทั้งสองไม่เชื่อและสอบถามชาวบ้านบริเวณนั้น ผู้เสียหายจึงแสดงตัวเป็นเจ้าของรถกระบะและแจ้งว่าไม่รู้จักจำเลย ผู้เสียหายยืนยันว่ากุญแจที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้จากจำเลยเป็นกุญแจล็อกประตูรถกระบะของผู้เสียหาย เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความได้สอดคล้องต้องกันและมีเหตุผลเชื่อมโยงกัน ไม่มีข้อพิรุธที่จะเป็นเหตุให้ระแวงสงสัยแต่อย่างใด น่าเชื่อว่าพยานทั้งสองเบิกความไปตามความเป็นจริง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับในขณะที่กำลังก้มเงยอยู่ข้างประตูด้านคนขับรถกระบะคันที่เกิดเหตุ โดยมีลูกกุญแจ 2 ดอก กุญแจล็อกประตูรถกระบะอยู่ในกระเป๋าเสื้อจำเลย ส่วนประตูรถกระบะเปิดได้และพบประแจบล็อก 3 ทางกับไขควงวางอยู่ที่เบาะคนขับ ประตูรถด้านคนขับมีร่องรอยงัดแงะตรงช่องกุญแจ ส่วนกุญแจหายไป จำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าพี่ชายให้มาเอารถแต่ลืมกุญแจจึงงัดรถเข้าไป ส่วนเงินจำนวน 1,000 บาท ซึ่งจำเลยมีติดตัวอยู่นั้นเตรียมไว้เป็นค่าน้ำมันรถ พฤติการณ์ของจำเลยตามพยานหลักฐานของโจทก์ข้างต้นแสดงให้เห็นว่าจำเลยงัดประตูรถกระบะเข้าไปโดยมีไม้บรรทัดเหล็ก ไขควง ประแจบล็อก 3 ทางกุญแจ 2 ดอกและไฟฉาย เป็นอุปกรณ์ ถึงแม้กุญแจ 2 ดอก ไม่มีเขี้ยวและไม่ปรากฏว่าใช้ไขสตาร์ทรถกระบะได้หรือไม่ก็ตาม แต่ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยแล้วว่าต้องการใช้อุปกรณ์เหล่านั้นเป็นเครื่องมือเพื่อเอารถกระบะไป เมื่อจำเลยสามารถงัดประตูรถกระบะจนเปิดออก และงัดเอากุญแจล็อกประตูรถออกไปได้ ถือได้ว่าเป็นการลงมือเพื่อจะเอารถกระบะไปโดยทุจริตแล้ว เมื่อไม่สามารถเอารถกระบะไปได้จะด้วยเหตุเพราะยังไม่ได้ทำลายกุญแจล็อกเกียร์หรือเพราะมีเจ้าพนักงานตำรวจมาพบการกระทำความผิดของจำเลยเสียก่อนก็ดี การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share