แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามข้อสัญญาซื้อขายฟิล์มภาพยนต์ โจทก์ร่วมเป็นผู้ซื้อผลงานจากผู้สร้างสรรค์ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ โดยมีเงื่อนไขการให้นำไปฉายในสถานที่ต่าง ๆ ตามที่ตกลงกับเจ้าของลิขสิทธิ์เท่านั้น หรือเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์อนุญาตให้โจทก์ร่วมใช้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์พิพาทชั่วในระยะเวลาหนึ่งและเฉพาะในเขตพื้นที่ตามสัญญาเท่านั้น เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ยังคงเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์อยู่ การที่โจทก์ร่วมได้รับอนุญาตจากผู้สร้างสรรค์ให้ใช้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์พิพาท แล้วขายต่อให้จำเลย จึงหมายถึงการขายฟิล์มภาพยนตร์ทั้ง 12 เรื่อง เพื่อให้จำเลยนำไปฉายในจังหวัดต่าง ๆ ในเขตที่กำหนดและภายในระยะเวลาที่กำหนด กรณีจึงไม่ใช่ผู้สร้างสรรค์อันเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์โอนลิขสิทธิ์ของตนให้แก่บุคคลอื่นทั้งหมด หรือบางส่วนอันจะต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอนตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 17 วรรคสาม ทั้งจำเลยจะอ้างว่าโจทก์ร่วมไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่มีอำนาจโอนขายลิขสิทธิ์ฟิล์มภาพยนตร์และจำเลยสำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 ไม่ได้ สัญญาซื้อขายฟิล์มภาพยนตร์จึงใช้บังคับได้ เมื่อโจทก์ร่วมส่งมอบฟิล์มภาพยนตร์แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยออกเช็คชำระหนี้ค่าฟิล์มภาพยนตร์แก่โจทก์ จึงเป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ขอให้นับโทษจำเลยทั้งสองคดีนี้ต่อกันด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานางเซี้ยะเกียง ศิริวาจา ผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมสองกรรม จำคุกกระทงละ 4 เดือน รวมจำคุก 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จำเลยฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า เช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับจำเลยออกเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อขายฟิล์มภาพยนตร์ ตามสัญญาซื้อขายฟิล์มภาพยนตร์เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 นั้น โจทก์ร่วมมิใช่เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ ทั้งมิได้ทำสัญญาซื้อขายลิขสิทธิ์จากผู้มีลิขสิทธิ์โดยถูกต้องตามกฎหมาย สัญญาซื้อขายฟิล์มภาพยนตร์ตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 จึงตกเป็นโมฆะ หนี้ตามสัญญาซื้อขายฟิล์มภาพยนตร์ตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 จึงเป็นหนี้ที่ไม่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายดังนี้ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 222 ว่าจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อฟิล์มภาพยนตร์จากโจทก์ร่วม ตามสัญญาซื้อขายฟิล์มภาพยนตร์เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 และธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับ เห็นว่าตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2537 มาตรา 4 บัญญัติว่า “ผู้สร้างสรรค์” หมายความว่า ผู้ทำหรือผู้ก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ และคำว่า”ลิขสิทธิ์” หมายความว่า สิทธิแต่ผู้เดียวที่จะทำการใด ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น แต่ตามสัญญาซื้อขายฟิล์มภาพยนตร์เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 มีข้อความว่า ข้อ 1. ผู้ขายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในเขต 8 จังหวัด และกากฟิล์มชานเมือง ขนาด 35 มม. ชื่อภาษาไทย เรื่อง ข้อ 2. ระบุว่า ผู้ขายกับผู้ซื้อตกลงซื้อขายฟิล์มภาพยนตร์ตามข้อ 1 โดยผู้ขายจะส่งฟิล์มภาพยนตร์ซึ่งเสร็จสมบูรณ์แล้วตามจำนวนที่ตกลงกัน ข้อ 3. ระบุว่า ผู้ซื้อมีสิทธิที่จะนำภาพยนตร์ออกทำการฉายได้ในเขตสาย 8 จังหวัด และชานเมืองเท่านั้น ซึ่งประกอบด้วยจังหวัด ดังนี้ ข้อ 6. ผู้ซื้อมีสิทธิในการนำฟิล์มภาพยนตร์ที่ซื้อออกจำหน่าย ให้เช่า ให้ยืม ทำการฉายแพร่ภาพ ในเขตของผู้ซื้อที่ระบุไว้ใน ข้อ 3. มีกำหนดระยะเวลาในการครอบครองสิทธิเป็นเวลา 12 เดือน นับจากวันทำสัญญาที่ผู้ขายมีต่อผู้สร้างสรรค์เดิมที่ผู้ขายซื้อมา ฯลฯ ดังนี้จะเห็นได้ว่าตามข้อสัญญาดังกล่าวหมายความว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้ซื้อผลงานจากผู้สร้างสรรค์ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์โดยมีเงื่อนไขการให้นำไปฉายในสถานที่ต่าง ๆ ตามที่ตกลงกับเจ้าของลิขสิทธิ์เท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์อนุญาตให้โจทก์ร่วมใช้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์พิพาทชั่วในระยะเวลาหนึ่งและเฉพาะในเขตพื้นที่ตามสัญญาเท่านั้น เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ยังคงเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์อยู่ การที่โจทก์ร่วมได้รับอนุญาตจากผู้สร้างสรรค์ให้ใช้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์พิพาท แล้วขายต่อให้จำเลยจึงหมายถึง การขายฟิล์มภาพยนตร์ทั้ง 12 เรื่อง เพื่อให้จำเลยนำไปฉายในจังหวัดต่าง ๆ ในเขตที่กำหนดและภายในระยะเวลาที่กำหนดในข้อ 6 กรณีจึงมิใช่ผู้สร้างสรรค์อันเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์โอนลิขสิทธิ์ของตนให้แก่บุคคลอื่นทั้งหมดหรือบางส่วนอันจะต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอนตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 17 วรรคสาม ทั้งจำเลยจะอ้างว่าโจทก์ร่วมมิใช่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่มีอำนาจโอนขายลิขสิทธิ์ฟิล์มภาพยนตร์และจำเลยสำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 ไม่ได้สัญญาซื้อขายฟิล์มภาพยนตร์ ตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 จึงใช้บังคับกันได้ เมื่อโจทก์ร่วมส่งมอบฟิล์มภาพยนตร์แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยออกเช็คชำระหนี้ค่าฟิล์มภาพยนตร์แก่โจทก์ จึงเป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน