คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 179/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลชั้นต้นได้ขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2532 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องทำบัญชีแสดงรายการรับ – จ่ายการขายทอดตลาดให้เสร็จสิ้นเสียก่อนจึงจะจ่ายเงินให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 316 ต่อมาวันที่ 7 ธันวาคม2532 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นขอรับเงินดังกล่าว และขอให้สั่งทำบัญชีแสดงรายการรับ – จ่าย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำบัญชีเพื่อตรวจจ่ายให้ต่อไปนั้น เท่ากับมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำบัญชีแสดงรายการรับ – จ่ายเพื่อตรวจสอบและมีคำสั่งจ่ายเงินให้แก่โจทก์แต่ไม่ปรากฏว่าได้มีการจ่ายเงินให้โจทก์ จนเมื่อมีการตั้งสำนักงานบังคับคดีจังหวัดมหาสารคามขึ้นแยกจากงานบังคับคดีของศาลชั้นต้น โจทก์ได้ยื่นคำแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีอีกและเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือขอให้ศาลชั้นต้นส่งเงินจำนวนดังกล่าวเพื่อจ่ายให้แก่โจทก์ ซึ่งเท่ากับเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รายงานให้ศาลชั้นต้นทราบการปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นในเรื่องการทำบัญชีและขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวตามบัญชีนั้นให้แก่โจทก์นั่นเอง อันเป็นขั้นตอนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้น ศาลชั้นต้นต้องส่งเงินแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อจ่ายให้แก่โจทก์ เพราะถือว่าโจทก์ยื่นคำแถลงขอรับหรือเรียกเอาแล้วตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2532 ในเวลาที่ยังไม่พ้นระยะ 5 ปี นับแต่วันที่ถือได้ว่าเป็นเงินค้างจ่ายอยู่ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีและโจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาได้ เงินดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 323

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี มิฉะนั้นให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมแล้วแต่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จึงยึดที่ดินทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดและโจทก์เป็นผู้ซื้อได้ในราคา 145,600 บาทตามรายงานเจ้าหน้าที่ลงวันที่ 14 กันยายน 2532 ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2541 ถึงศาลชั้นต้นขอให้ส่งเงินดังกล่าวหลังจากหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายแล้วจำนวน 138,320 บาท ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อจ่ายให้แก่โจทก์ต่อไป

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีเงินขายทอดตลาดเป็นเงินค้างจ่ายอยู่ในศาลโจทก์ไม่ได้ขอรับเงินไปเกิน 5 ปี แล้ว จึงตกเป็นของแผ่นดิน

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2532เจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลชั้นต้นได้ขายทอดตลาดที่ดินทรัพย์จำนองตามคำสั่งศาลให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อ และโจทก์ได้ชำระราคาแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีครบถ้วนเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำบัญชีแสดงรายการรับ – จ่ายเสร็จในวันที่ 20 กันยายน2532 ซึ่งเมื่อหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีแล้ว มีเงินคงเหลือสุทธิที่ต้องนำไปชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์เป็นเงิน 138,320 บาท และในวันที่ 7 ธันวาคม 2532 โจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นขอรับเงินจำนวนดังกล่าวและขอให้สั่งทำบัญชีแสดงรายการรับ – จ่าย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า”ทำบัญชีเพื่อตรวจจ่ายต่อไป” ต่อมากรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรมได้จัดตั้งสำนักงานบังคับคดีจังหวัดมหาสารคามรับผิดชอบงานบังคับคดีแยกจากงานบังคับคดีของศาลชั้นต้น โจทก์ได้ยื่นคำแถลงขอรับเงินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีสำนักบังคับคดีจังหวัดมหาสารคามอีกและในวันที่ 25 มีนาคม 2541 เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดมหาสารคามมีหนังสือขอให้ศาลชั้นต้นตรวจสอบและส่งเงินจำนวนดังกล่าวให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อจะได้จ่ายให้แก่โจทก์ คดีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า เงินจำนวนดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินแล้วหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง และโจทก์ผู้ซื้อได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีหน้าที่จะต้องทำบัญชีแสดงรายการรับ – จ่ายให้เสร็จสิ้นเสียก่อนจึงจะจ่ายเงินให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้มีสิทธิที่จะได้รับเงินจากการขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 316 ปรากฏว่าหลังจากเจ้าพนักงานบังคับคดีทำบัญชีแสดงรายการรับ – จ่ายแล้วเสร็จ และเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามบัญชีเป็นเงินค้างจ่ายอยู่ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาได้แล้วนั้น โจทก์ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นขอรับเงินจำนวนดังกล่าว และขอให้สั่งทำบัญชีแสดงรายการรับ – จ่ายการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำบัญชีเพื่อตรวจจ่ายให้ต่อไป เท่ากับศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำบัญชีแสดงรายการรับ – จ่ายเพื่อตรวจสอบและมีคำสั่งจ่ายเงินให้แก่โจทก์ต่อไป เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงชอบที่จะรายงานให้ศาลชั้นต้นทราบว่าได้ทำบัญชีแล้วเสร็จและขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจ่ายเงิน 138,320 บาท ตามบัญชีให้แก่โจทก์ แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้ปฏิบัติจนต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดมหาสารคาม และเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดมหาสารคามได้ตรวจสำนวนของศาลชั้นต้นแล้วจึงมีหนังสือขอให้ศาลชั้นต้นส่งเงินจำนวนดังกล่าวเพื่อจ่ายให้แก่โจทก์ซึ่งเท่ากับเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดมหาสารคามได้รายงานให้ศาลชั้นต้นทราบการปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นในเรื่องการทำบัญชีและขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวตามบัญชีนั้นให้แก่โจทก์นั่นเอง อันเป็นขั้นตอนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้น ดังนั้นศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตให้จ่ายเงินหรือให้ส่งเงินแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อจ่ายให้แก่โจทก์เพราะเงินจำนวนนี้โจทก์ได้ยื่นคำแถลงขอรับหรือเรียกเอาแล้วตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2532 ซึ่งยังไม่พ้นระยะ 5 ปี นับแต่วันที่ถือได้ว่าเป็นเงินค้างจ่ายอยู่ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีและโจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาได้เงินจำนวนดังกล่าวนี้จึงไม่ตกเป็นของแผ่นดินตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าเงินจำนวนดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินและพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นส่งเงินจำนวน 138,320 บาท ให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดมหาสารคาม เพื่อจ่ายให้แก่โจทก์

Share