คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4451/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยทำนองเดียวกันว่า โจทก์รู้เห็นยินยอมให้บริษัทที่โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นและจำเลยเป็นกรรมการทำบัญชี 2 ชุดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ยอมเสียภาษีอันเป็นการกระทำผิดกฎหมายโจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีนี้ได้ และเหตุที่ไม่ได้แบ่งเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเนื่องจากต้องนำเงินไปใช้ขยายกิจการของบริษัทผู้ถือหุ้นซึ่งรวมทั้งโจทก์มิได้ขาดประโยชน์อันควรได้แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดตามฟ้องเช่นนี้ ถือว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220
จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัททำบัญชีเท็จว่าบริษัทขาดทุนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ชำระภาษีอันเป็นการกระทำผิดกฎหมายโดยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรู้เห็นยินยอม การทำบัญชีดังกล่าวจึงไม่เป็นการหลอกลวงให้โจทก์ขาดประโยชน์อันควรได้ ไม่เป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ มาตรา 42

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ท. จำเลยทั้งสองเป็นกรรมการบริษัทได้ร่วมกันทำงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนเท็จว่าบริษัทขาดทุนเพื่อลวงให้บริษัทและผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83พระราชบัญญัติ กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัดบริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้ประทับฟ้อง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยทำนองเดียวกันว่า โจทก์รู้เห็นยินยอมในกรณีบริษัททำบัญชีขึ้น 2 ชุด ชุดหนึ่งทำยื่นต่อกรมสรรพากรและกรมทะเบียนการค้า เป็นบัญชีเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ยอมเสียภาษีอันเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายโจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีนี้ได้เหตุที่ไม่ได้แบ่งเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเนื่องจากต้องนำเงินไปใช้ขยายกิจการของบริษัทซึ่งเงินจากผลกำไรยังอยู่กับบริษัท โดยที่ผู้ถือหุ้นซึ่งรวมทั้งโจทก์มิได้ขาดประโยชน์อันควรได้แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดตามฟ้อง เช่นนี้ถือว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงแม้ศาลล่างจะใช้คำว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายและการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ทำให้ดูคล้ายเป็นข้อกฎหมายก็ตามแต่แท้จริงแล้วย่อมหมายถึงโจทก์ไม่เสียหายและจำเลยไม่มีความผิดเท่านั้น จึงไม่ถือว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อกฎมหายแต่ประการใด โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220

โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายหลายประการ แต่ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนดังนั้นศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์รู้เห็นยินยอมในการที่บริษัททำบัญชีขึ้น 2 ชุด ชุดที่ยื่นต่อกรมสรรพากรและกรมทะเบียนการค้าเป็นบัญชีเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ยอมเสียภาษีอันเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย และโจทก์มิได้ขาดประโยชน์อันควรได้จากการกระทำของจำเลยแต่อย่างใด เมื่อฟังข้อเท็จจริงได้ ดังนี้ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่จะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 นั้น จะต้องเป็นการกระทำเพื่อลวงให้ห้างหุ้นส่วน บริษั่ ผู้เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ ดังนั้นการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการลวงให้โจทก์ขาดประโยชน์อันควรได้จึงไม่เป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง และข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายนั้นย่อมตกไปด้วย เพราะเมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดแล้วย่อมไม่มีผู้เสียหาย

พิพากษายืน

Share