คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

วันนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยและทนายทั้งสองฝ่ายมาศาล ลงชื่อทราบนัดสืบพยานโจทก์ในรายงานกระบวนพิจารณา ครั้นถึงวันนัดโจทก์นำพยานเข้าสืบได้ 2 ปาก แถลงหมดพยานโจทก์ จำเลยไม่ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันนัดสืบพยาน 3 วัน จึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบที่ศาลสั่งงดสืบพยานจำเลยเป็นการชอบแล้ว คำร้องขอระบุพยานไม่เป็นคำร้องเพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความจึงไม่เป็นคำคู่ความเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งไว้ จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ จำเลยมิได้ระบุพยานก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ซึ่งต้องห้ามมิให้รับฟังพยานหลักฐาน จำเลยไม่มีสิทธิอ้างตนเองเป็นพยานได้แม้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งมาตรา 87(2) ได้ก็ตาม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินส่วนแบ่งตามบันทึกข้อตกลงเรื่องทรัพย์สินในการจดทะเบียนหย่า
จำเลยให้การว่า ได้แบ่งเงินกันเรียบร้อยแล้ว และโจทก์นำบุตรกลับไปให้อยู่กับจำเลย จึงไม่ต้องชำระส่วนที่ตกได้แก่บุตร
ศาลชั้นต้นทำการพิจารณา โจทก์นำพยานเข้าสืบก่อน สืบพยานได้2 ปากแถลงหมดพยานโจทก์ ทนายจำเลยขอเลื่อนไปสืบพยานจำเลย โจทก์คัดค้านว่า จำเลยไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบเพราะไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายใน 1 วันก่อนวันสืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ งดสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 600บาทแทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้มีปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นนัดชี้สองสถานในวันที่ 3 พฤษภาคม 2526 โจทก์จำเลยและทนายทั้งสองฝ่ายมาศาล ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีไม่มีข้อยุ่งยาก ให้นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2526 จำเลยและทนายจำเลยได้เซ็นทราบในรายงานกระบวนพิจารณาแล้ว ครั้นถึงวันนัดศาลชั้นต้นได้ไกล่เกลี่ยแต่คู่ความตกลงกันไม่ได้ จึงทำการสืบพยานโจทก์ไป โจทก์นำพยานเข้าสืบได้ 2 ปากแถลงหมดพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลยเพราะจำเลยไม่ระบุพยาน เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยานจำเลยนั้นเนื่องจากจำเลยไม่ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันนัดสืบพยาน3 วัน จำเลยจึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงชอบแล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานถือว่าเป็นคู่ความศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคท้าย นั้นเห็นว่า คำร้องขอระบุพยานไม่เป็นคำร้องเพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความจึงไม่เป็นคำคู่ความตามมาตรา 1(5) เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าว คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิอ้างตนเองเป็นพยานได้ แม้จำเลยจะขาดนัดโดยจงใจก็ยังมีสิทธิอ้างตนเองเป็นพยานได้นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 เป็นเรื่องการพิจารณาโดยขาดนัด กรณีของจำเลยไม่ใช่เรื่องการพิจารณาโดยขาดนัด หากแต่จำเลยมิได้ระบุพยานก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ซึ่งต้องห้ามมิให้รับฟังพยานหลักฐานตามมาตรา 87 แม้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งมาตรา 87(2) ได้ก็ตาม เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งให้งดสืบพยานจำเลยเสียได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 600 บาทแทนโจทก์”.

Share