คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4449/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รถของโจทก์ที่ 1 ชนกับรถของจำเลยที่ 2 แม้ ส. คนขับรถ ของโจทก์ที่ 1 จะขับรถโดยประมาทเลินเล่อด้วย แต่โจทก์ที่ 4 เป็นเพียงนั่งโดยสารมากับรถของโจทก์ที่ 1 คันเกิดเหตุมิได้มีส่วน ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นด้วย จำเลยทั้งสามจึงต้องรับผิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 4 เต็มจำนวนโดยไม่อาจแบ่ง ความรับผิดให้แก่โจทก์ที่ 4 ได้ และปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์ที่ 4 จะไม่ได้ยกขึ้นอ้างศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อความเป็นธรรมแก่โจทก์ที่ 4 ได้
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารถของโจทก์ที่ 1 ชนกับรถของจำเลยที่ 2 เพราะ ส. ซึ่งเป็นคนขับรถของโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น คนขับรถของจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทเลินเล่อด้วยกันทั้งสองฝ่ายแต่จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อมากกว่ากรณีเช่นนี้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นฝ่ายผิดมากกว่าก็ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นฝ่ายผิดน้อยกว่าให้รับผิดในความเสียหายของจำเลยที่ 2 ได้ ปัญหาดังกล่าวนี้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

คดีทั้งสี่สำนวนศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาโดยให้เรียกนายสกล คณารักษ์สมบัติ เป็นโจทก์ที่ ๑ นางเพชร หงษ์ทอง เป็นโจทก์ที่ ๒ นายเป็น แซ่โค้ว เป็นโจทก์ที่ ๓ นางไพรเส็ง หรือบุญสิน แซ่ฉั่ว เป็นโจทก์ ๔ นายสุนทร ดีเรืองเดชเป็นจำเลยที่ ๑ นายปัญญา เต็มเจริญ เป็นจำเลยที่ ๒ บริษัทขนส่ง จำกัด เป็นจำเลยที่ ๓
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยทั้งสามว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ขับรถยนต์โดยสารประจำทางในทางการที่จ้างหรือมอบหมายจากจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ โดยประมาณชนกับรถของโจทก์ที่ ๑ โดยมีนายสุพล หงษ์ทองบุตรของโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ เป็นคนขับ และโจทก์ที่ ๔ นั่งโดยสารมาในรถยนต์คันที่นายสุพลขับเป็นเหตุให้นายสุพล หงษ์ทอง ถึงแก่ความตายและโจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๒๒๗,๙๔๐ บาท โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ จำนวน ๑๕๕,๘๔๕ บาท โจทก์ที่ ๔ จำนวน ๑๒๕,๗๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของนายสุพล หงษ์ทองผู้ตายฝ่ายเดียว เป็นเหตุสุดวิสัยของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดชอบโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ใช่ทายาทของนายสุพล หงษ์ทอง จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูตามกฎหมาย โจทก์เรียกค่าเสียหายมาสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสี่
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถร่วมกับจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างกระทำในทางการที่จ้างหรือมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดชอบในการกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เหตุเกิดโดยไม่ใช่ความผิดของจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ฟ้องโจทก์ที่ ๑ เป็นสำนวนที่ ๔ ว่า นายสุพล หงษ์ทอง ลูกจ้างโจทก์ที่ ๑ ขับรถยนต์โดยประมาทชนรถของจำเลยที่ ๒ ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ที่ ๑ ใช้เงิน ๑,๔๕๔,๒๗๐.๗๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่จำเลยที่ ๒
โจทก์ที่ ๑ ให้การว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๑ ลูกจ้างจำเลยที่ ๒ โจทก์ที่ ๑ ไม่ต้องรับผิด ฟ้องของจำเลยที่ ๒ เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์สำนวนที่ ๑ ถึงสำนวนที่ ๓ ให้จำเลยในสำนวนที่ ๔ (โจทก์ที่ ๑) ใช้ค่าเสียหาย ๕๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในสำนวนที่ ๔ (จำเลยที่ ๒)
โจทก์ทั้งสี่และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ในสำนวนที่ ๑ ถึงสำนวนที่ ๓ ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ในสำนวนที่ ๑ เป็นเงิน ๑๐๐,๐๕๓.๓๔ บาท ชดใช้ให้โจทก์ที่ ๑ ในสำนวนที่ ๒ เป็นเงิน ๔๖,๐๐๐ บาท ชดใช้ให้โจทก์ในสำนวนที่ ๓ เป็นเงิน ๒๕,๓๓๓.๓๔ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๒ ในสำนวนที่ ๒ ให้จำเลยในสำนวนที่ ๔ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ในสำนวนที่ ๔ เป็นเงิน ๙๙,๓๓๓.๓๓ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ และจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ทั้งจำเลยที่ ๑ และนายสุพลขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่จำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายประมาทมากกว่าแล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่ศาลอุทธรณ์ให้ลดค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยทั้งสามจะต้องใช้ให้แก่โจทก์ที่ ๔ จำนวน ๓๘,๐๐๐ บาท ลงหนึ่งในสาม คงเหลือเพียง ๒๕,๓๓๓.๓๔ บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะโจทก์ที่ ๔ หาได้มีส่วนร่วมในการประมาทเลินเล่อของนายสุพลหรือต้องรับผิดร่วมกับนายสุพลไม่กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์ที่ ๔ ได้รับความเสียหายโดยมิได้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นด้วย ศาลอุทธรณ์จึงไม่อาจแบ่งความรับผิดให้แก่โจทก์ที่ ๔ ดังเช่นกรณีของโจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ จำเลยทั้งสามต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ ๔ เต็มจำนวน ๓๘,๐๐๐ บาท ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้โจทก์ที่ ๔ จะไม่ได้ยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อความเป็นธรรมแก่โจทก์ที่ ๔
มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์ที่ ๑ จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยที่ ๒ เพียงใดหรือไม่ ในปัญหานี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ เสียหายเป็นเงิน ๒๙๘,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๑ ต้องรับผิดหนึ่งในสาม เป็นเงิน ๙๙,๓๓๓.๓๓ บาท โจทก์ที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ต่างฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า รถของโจทก์ที่ ๑ ชนกับรถของจำเลยที่ ๒ เพราะนายสุพลซึ่งเป็นคนขับรถของโจทก์ที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นคนขับรถของจำเลยที่ ๒ ขับรถโดยประมาทเลินเล่อด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่จำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อมากกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นฝ่ายผิดมากกว่าก็ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องให้โจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นฝ่ายผิดน้อยกว่าให้รับผิดในความเสียหายของจำเลยที่ ๒ ได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ที่ ๑ ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยที่ ๒ นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ปัญหานี้ก็เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ ๔ เป็นเงิน ๓๘,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องโจทก์ในสำนวนที่ ๔ (สำนวนที่จำเลยที่ ๒ ฟ้องโจทก์ที่ ๑) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share