แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อบ้านและที่ดินระหว่างผู้ร้องทั้งหมดกับจำเลยที่ 1 นั้นเป็นสิทธิที่ผู้ร้องทั้งหมดและจำเลยที่ 1 จะพึงได้รับทั้งสองฝ่าย หาใช่เป็นสิทธิตามสัญญาที่ผู้ร้องทั้งหมดจะพึงได้รับไปแต่ฝ่ายเดียวเท่านั้นไม่ เมื่อปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวติดจำนอง ธนาคาร ท. เจ้าหนี้มีประกันได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้จำนวนเงิน 166,527,203.70 บาท โดยขอให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนเงินที่ยังขาดอยู่ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 96(3) และยังมีเจ้าหนี้รายอื่นอีกจำนวนมากยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นจำนวนถึง 1,271,317,509.34 บาทแต่สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 จะได้รับค่าเช่าซื้ออีกบางส่วนจากผู้ร้องทั้งหมดเพียงรายละ 180,000 บาท เท่านั้น ดังนี้สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 จะได้รับเงินจากผู้ร้องทั้งหมดเป็นเงินจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับความยุ่งยากหรือภาระที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญา จึงเป็นกรณีที่สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อมีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมมีอำนาจไม่ยอมรับสิทธิตามสัญญานั้นได้ ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯมาตรา 122.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองกับพวกซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อบ้านและที่ดินแปลงย่อยในที่ดินแปลงใหญ่โฉนดที่ดินเลขที่ 1168 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานีจากจำเลยที่ 1 โดยชำระค่าเช่าซื้อไปแล้วบางส่วน และจะต้องชำระค่าเช่าซื้ออีกบางส่วน ได้ยื่นคำร้องขอปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวโดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อมีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้
ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองยื่นคำร้องทำนองเดียวกันว่าคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่เป็นธรรม ทำให้ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองและครอบครัวเดือดร้อนไม่มีที่อยู่อาศัย ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองเช่าซื้อบ้านและที่ดินด้วยความสุจริตจากจำเลยที่ 1 ก่อนจำเลยที่ 1 จะถูกดำเนินคดีในความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองได้เข้าอยู่อาศัยมานานแล้ว และมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 หากมีการขายทอดตลาดบ้านและที่ดิน ผู้ร้องทั้งหมดจะไร้ที่อยู่อาศัยกว่า 600 ครอบครัวรวม 3,000 คนเศษ การขอเฉลี่ยทรัพย์ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยได้ ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์งดการขายทอดตลาดบ้านและที่ดินไว้ก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ให้ยกคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และรับคำร้องของผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองไว้พิจารณาต่อไป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า บ้านและที่ดินแปลงย่อยตามคำร้องอยู่ในที่ดินแปลงใหญ่ โฉนดที่ดินเลขที่ 1168ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ซึ่งติดจำนองธนาคารทหารไทยจำกัด เจ้าหนี้มีประกันที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นเงิน 166,527,203.70 บาท โดยขอให้ขายทอดตลาดทรัพย์อันเป็นหลักประกันแล้ว ขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96(3) แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะนำสิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดินแปลงย่อยออกขายทอดตลาดเงินที่ได้ก็ไม่พอชำระหนี้จำนองดังกล่าวประกอบกับคดีนี้มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จำนวนมากถึง 3,958 ราย เป็นเงิน1,271,317,509.34 บาท ดังนั้น สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อที่ขอปฏิบัติจึงมีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจไม่ยอมรับสิทธิตามสัญญานั้นได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 122 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นนัดพร้อม ถึงวันนัดผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองแถลงว่า ผู้ร้องทั้งหมดกว่า 600 ครอบครัว จะเดือดร้อน ไม่มีที่อยู่อาศัย ขอให้งดการขายทอดตลาดบ้านและที่ดินไว้ก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงว่า มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้รวม 3,958 ราย จำนวนเงินกว่า 1,270,000,000บาท หากปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อจะมีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่ยอมรับสิทธิตามสัญญานั้นศาลชั้นต้นชี้แจงเกี่ยวกับการขอรับชำระหนี้และการขายทอดตลาดแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งหมด
ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงซึ่งไม่มีข้อโต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองได้เช่าซื้อบ้านและที่ดินแปลงย่อยซึ่งอยู่ในที่ดินแปลงใหญ่ โฉนดที่ดินเลขที่ 1168 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี จากจำเลยที่ 1ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะถูกดำเนินคดีในความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 1 จำนองไว้แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด เจ้าหนี้มีประกันที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จำนวนเงิน166,527,203.70 บาท โดยขอให้ขายทอดตลาดทรัพย์อันเป็นหลักประกันแล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 96(3) และภายหลังจากศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดแล้ว มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้รวม3,958 ราย เป็นเงิน 1,271,317,509.34 บาท
พิเคราะห์แล้ว ที่ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองฎีกาว่าสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อบ้านและที่ดินเป็นสิทธิที่ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองจะพึงได้รับไปแต่ฝ่ายเดียว หาใช่สิทธิที่จำเลยที่ 1 จะได้รับไปด้วยไม่ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่อาจอ้างว่าสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อมีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะไม่ยอมรับปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อหาได้ไม่ นั้น เห็นว่าสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวเป็นสิทธิที่ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองและจำเลยที่ 1 จะพึงได้รับทั้งสองฝ่าย หาใช่เป็นสิทธิตามสัญญาที่ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองจะพึงได้รับไปแต่ฝ่ายเดียวเท่านั้นไม่ เพราะในขณะที่ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองในฐานะผู้เช่าซื้อจะได้รับโอนบ้านและที่ดินตามสัญญาเช่าซื้อเมื่อปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญา จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ให้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิจะได้รับเงินค่าเช่าซื้ออีกบางส่วนซึ่งขาดอยู่ตามสัญญานั้นเช่นกัน ความในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 122 ที่ว่า ทรัพย์สินของลูกหนี้หรือสิทธิตามสัญญามีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ นั้น หมายถึงทรัพย์สินของลูกหนี้หรือสิทธิตามสัญญาที่ลูกหนี้จะพึงได้รับมามีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้หรือไม่ ได้ความว่า บ้านและที่ดินแปลงย่อยที่ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองขอปฏิบัติตามสัญญาอยู่ในที่ดินแปลงใหญ่ โฉนดที่ดินเลขที่ 1168 ซึ่งติดจำนองธนาคารทหารไทย จำกัดเจ้าหนี้มีประกันที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้จำนวนเงิน166,527,203.70 บาท โดยขอให้ขายทอดตลาดทรัพย์อันเป็นหลักประกันแล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนเงินที่ยังขาดอยู่ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 96(3) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พิจารณาเห็นว่าแม้จะนำสิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดินแปลงย่อยขายทอดตลาดเงินที่ได้ก็ไม่พอชำระหนี้ดังกล่าว เมื่อสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1จะได้รับค่าเช่าซื้ออีกบางส่วนจากผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองกับพวกทั้งหมดซึ่งผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองฎีกาว่า เฉลี่ยแล้วจะต้องชำระค่าเช่าซื้ออีกรายละ 180,000 บาท เห็นได้ชัดว่าเป็นเงินจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับความยุ่งยากหรือภาระที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญา คือได้ไม่เท่าเสีย กล่าวคือแทนที่กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 จะเพิ่มพูนขึ้น แต่กลับทำให้ลดน้อยลง เพราะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องไถ่ถอนที่ดินแปลงใหญ่ โฉนดที่ดินเลขที่ 1168 เพื่อนำมาโอนให้ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองกับพวกทั้งหมดเมื่อปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญา การที่เจ้าหนี้มีประกันขอให้ขายทอดตลาดทรัพย์อันเป็นหลักประกันดังกล่าวนั้น เป็นสิทธิของเจ้าหนี้มีประกันซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพียงแต่มีหน้าที่ขายทรัพย์โดยปลอดจำนอง เพื่อนำเงินไปชำระหนี้จำนองเท่านั้นและการที่ต้องขายทอดตลาดทรัพย์อันเป็นหลักประกันดังกล่าว แสดงให้เห็นว่ากองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ไม่พอไถ่ถอนจำนองซึ่งเป็นจำนวนมากได้ ประกอบกับยังมีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นจำนวนเงินถึง 1,271,317,509.34 บาท เช่นนี้จึงเป็นกรณีที่สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อมีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ อันทำให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจไม่ยอมรับสิทธิตามสัญญานั้นได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 122 ที่ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองฎีกาว่า ธนาคารทหารไทย จำกัด ผู้รับจำนองได้รับชำระหนี้ไปแล้ว 30,000,000 บาท และจำเลยทั้งสองยังมีทรัพย์สินอื่นอีกมาก โดยคำนวณแล้วเมื่อนำออกขายทอดตลาดจะได้ไม่น้อยกว่า1,000,000,000 บาท นั้น เห็นว่า เป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยปราศจากหลักฐานและเป็นการคำนวณราคาทรัพย์โดยคาดหมายเอาเองไม่อาจรับฟังได้ ประกอบกับข้อที่ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองฎีกานี้ ไม่เกี่ยวกับปัญหาว่าสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อมีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้หรือไม่ ซึ่งจะต้องพิจารณาเฉพาะสิทธิหรือประโยชน์และภาระตามสัญญาที่จะตกแก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้เท่านั้น
ที่ผู้ร้องทั้งหนึ่งร้อยหกสิบสองฎีกาว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะไม่ยอมรับสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อไม่ได้ เนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหน้าที่กระทำการที่จำเป็นเพื่อให้กิจการของจำเลยที่ 1 ที่ค้างอยู่เสร็จสิ้นไปตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 22(1) โดยรับเงินค่าเช่าซื้อบ้านและที่ดินหรือต่อสัญญาเดิม เป็นต้น นั้น เห็นว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว นอกจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมีอำนาจทั่วไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 แล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังมีอำนาจที่จะไม่ยอมรับทรัพย์สินของลูกหนี้หรือสิทธิตามสัญญา หากทรัพย์สินของลูกหนี้หรือสิทธิตามสัญญานั้นมีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 122 อีกด้วย ฉะนั้น เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พิจารณาเห็นว่า สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อของจำเลยที่ 1มีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็มีอำนาจไม่ยอมรับสิทธิตามสัญญานั้นได้ตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น…”
พิพากษายืน.