คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2379/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้จ่ายเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้จากกิจการร่วมค้าให้แก่บุคคลธรรมดาซึ่งเป็นผู้ร่วมค้ากับโจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายจำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายจากเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้จากกิจการร่วมค้าแต่เป็นการประเมินจากเงินเดือน ค่าเบี้ยเลี้ยง และค่าแรงที่โจทก์จ่ายให้แก่พนักงานขับรถและคนงานของโจทก์ ดังนั้นการที่โจทก์นำสืบว่า การจ่ายเงินค่าจ้างแรงงานก่อสร้าง นั้นบางครั้งโจทก์ได้จ่ายเป็นค่าเหมาช่วงให้บุคคลอื่นรับไปบางส่วนจ่ายเป็นค่าจ้างแรงงานรายวัน บางส่วนจ่ายเป็นค่าจ้างคนขับรถ ซึ่งมีเงินได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โจทก์ไม่มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นตามคำฟ้องศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้ายื่นแบบแสดงรายการการค้าไว้ไม่ถูกต้อง ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไปอันจะต้องเสียเบี้ยปรับตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษอันเป็นมาตรการที่บังคับไว้เพื่อให้เกิดผลในกรณี ที่ผู้ต้องเสียภาษีไม่ยอมชำระภาษีหรือชำระภาษีไม่ครบถ้วน แม้ผู้ต้องเสียภาษีจะเคยชำระภาษีในครั้งก่อน ๆ ไว้เกิน ก็ไม่เป็นเหตุให้พ้นความรับผิดที่จะไม่ต้องเสียเบี้ยปรับ ตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ กับให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าเสียด้วย
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ชำระภาษีให้ครบถ้วน จึงไม่มีเหตุอันควรงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มอีกทั้งโจทก์มิได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในประเด็นการงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ประเด็นข้อนี้จึงยุติ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายนี้ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้จ่ายเงินส่วนแบ่งกำไรให้แก่บุคคลธรรมดาซึ่งเป็นผู้ร่วมค้ากับโจทก์เกี่ยวกับการร่วมขนส่งอันเป็นกิจการร่วมกันในทางการค้าระหว่างห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นเงินได้ของผู้ร่วมค้า โจทก์ในฐานะผู้จ่ายไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายจากเงินได้ส่วนแบ่งกำไรให้ผู้ร่วมค้า แต่เป็นการประเมินจากเงินเดือน ค่าเบี้ยเลี้ยง และค่าแรงที่โจทก์จ่ายให้พนักงานขับรถและคนงานของโจทก์ ดังนั้น การที่โจทก์นำสืบว่าการจ่ายเงินค่าจ้างแรงงานก่อสร้างนั้น บางครั้งโจทก์ได้จ่ายเป็นค่าเหมาช่วงให้บุคคลอื่นรับไป บางส่วนจ่ายเป็นค่าจ้างแรงงานรายวัน บางส่วนจ่ายเป็นค่าจ้างคนขับรถ ซึ่งมีเงินได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โจทก์จึงมิได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ จึงเป็นการสืบนอกฟ้องเพราะคำฟ้องกล่าวว่าโจทก์จ่ายเงินส่วนแบ่งกำไรให้ผู้ร่วมค้าแต่กลับนำสืบว่าได้จ่ายเงินค่าจ้างให้ผู้รับเหมาช่วงและจ่ายเงินค่าแรงงานกับเงินเดือนให้ลูกจ้าง จึงเป็นคนละเรื่องกันหาใช่เป็นการนำสืบถึงรายละเอียดถึงเหตุที่ไม่มีหน้าที่หักภาษีดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในอุทธรณ์ไม่เมื่อเป็นการนำสืบนอกประเด็นตามคำฟ้อง ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
ส่วนภาษีการค้า โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกายอมรับว่าได้เสียภาษีการค้าในเดือนที่พิพาทนี้ต่ำกว่าความเป็นจริง เพียงแต่โต้แย้งว่าโจทก์ได้เสียภาษีการค้าในเดือนก่อนไว้เกิน หักกลบกันแล้วโจทก์ยังเสียไว้สูงกว่าและมิได้ขอคืน โจทก์จึงไม่ควรต้องเสียเบี้ยปรับของเดือนที่เสียขาด เมื่อโจทก์ยอมรับว่าได้เสียภาษีการค้าไว้ต่ำกว่าความเป็นจริง จึงเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้ายื่นแบบแสดงรายการการค้าไว้ไม่ถูกต้องทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไปอันจะต้องเสียเบี้ยปรับตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษอันเป็นมาตรการที่บังคับไว้เพื่อให้เกิดผลในกรณีที่ต้องเสียภาษีไม่ยอมชำระภาษีหรือชำระภาษีไม่ครบถ้วน แม้ผู้ต้องเสียภาษีจะเคยชำระภาษีในครั้งก่อน ๆ ไว้เกิน ก็ไม่เป็นเหตุให้พ้นความรับผิดที่จะไม่ต้องเสียเบี้ยปรับตามกฎหมาย
พิพากษายืน

Share