คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 240/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติ ญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 มาตรา 9 และมาตรา 11 เป็นเพียงบทบัญญัติกำหนดคุณสมบัติและเหตุที่พนักงานรัฐวิสาหกิจจะต้องพ้นจากตำแหน่งเพื่อให้รัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติเป็นแนวเดียวกัน มิได้หมายความว่าเมื่อพนักงานรัฐวิสาหกิจผู้ใดอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์การจ้างเป็นอันระงับไปทันที แต่รัฐวิสาหกิจผู้เป็นนายจ้างจะต้องดำเนินการให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งไปด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 46 เงินกองทุนสงเคราะห์และดอกเบี้ย จำเลยจัดให้มีขึ้นต่างหากจากค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและมีวัตถุประสงค์ในทางสงเคราะห์พนักงานและทายาท เงินจำนวนนี้ส่วนหนึ่งเรียกเก็บจากพนักงานเป็นรายเดือน ส่วนเงินบำเหน็จเป็นเงินตอบแทนแก่ลูกจ้างที่ทำงานมาด้วยดีจนถึงวันออกจากงาน ซึ่งจำเลยจ่ายโดยอาศัยหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณทำนองเดียวกับกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญของข้าราชการซึ่งต่างจากวิธีคำนวณค่าชดเชย เงินกองทุนสงเคราะห์กับเงินบำเหน็จจึงไม่ใช่ค่าชดเชย แม้มากกว่าค่าชดเชยก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์เรียกค่าชดเชยจากจำเลยอีก จำเลยไม่ได้กำหนดล่วงหน้าให้โจทก์ลาหยุดพักผ่อนได้ในช่วงใดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 10จึงอ้างไม่ได้ว่าโจทก์ไม่ใช้สิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีเองเมื่อจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์มิได้กระทำผิด จึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสิบเก้าสำนวนซึ่งศาลแรงงานกลางรวมการพิจารณาพิพากษาคดีเข้าด้วยกัน ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเก้าเพราะเหตุเกษียณอายุ จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์แต่ละคนเพียงเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเก้าสิบวัน ยังขาดอีกเก้าสิบวันและจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 19 ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยที่ขาดและค่าจ้างที่ยังมิได้จ่าย จำเลยทั้งสิบเก้าสำนวนให้การว่า โจทก์ทั้งสิบเก้าพ้นจากตำแหน่งเพราะขาดคุณสมบัติตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 จำเลยได้จ่ายค่าทดแทนเท่ากับเงินเดือนสุดท้าย 3 เดือน เงินกองทุนสงเคราะห์และดอกเบี้ย และเงินบำเหน็จหรือบำนาญให้แก่โจทก์ทั้งสิบเก้ารับไปแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการจ่ายค่าชดเชยแล้ว โจทก์ที่ฟ้องเรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ไม่มีสิทธิฟ้อง เพราะมิได้ใช้สิทธิลาในวันหยุดที่เหลือเองวันนัดพิจารณา คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสิบเก้าพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุเกษียณอายุ จำเลยได้จ่ายเงินค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 3 เดือนเงินกองทุนสงเคราะห์และดอกเบี้ยกับเงินบำเหน็จตามข้อบังคับและระเบียบของจำเลย เป็นจำนวนตามคำให้การให้โจทก์ทั้งสิบเก้ารับไปแล้ว สำหรับโจทก์ที่ฟ้องเรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีมีวันหยุดเหลืออยู่ซึ่งหากมีสิทธิได้รับค่าจ้างจะได้ค่าจ้างตามฟ้อง คู่ความไม่สืบพยาน ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสิบเก้า และจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 ที่ 7 ถึงที่ 19 ตามฟ้องจำเลยทั้งสิบเก้าสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่าการที่จำเลยให้โจทก์ทั้งสิบเก้าออกจากงานเพราะเกษียณอายุไม่ใช่การเลิกจ้างตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน แต่เป็นเพราะผลบังคับของกฎหมายคือพระราชบัญญัติ คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจพ.ศ. 2518 ซึ่งถือว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวมีกำหนดเวลาจ้างที่แน่นอนอยู่ในตัวด้วย โจทก์ทั้งสิบเก้าจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 มาตรา 9 และมาตรา 11 เป็นเพียงบทบัญญัติกำหนดคุณสมบัติและเหตุที่พนักงานรัฐวิสาหกิจจะต้องพ้นจากตำแหน่งเพื่อให้รัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติเป็นแนวเดียวกันมิได้หมายความว่าเมื่อพนักงานรัฐวิสาหกิจผู้ใดขาดคุณสมบัติเนื่องจากอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ การจ้างเป็นอันระงับไปทันทีแต่รัฐวิสาหกิจผู้เป็นนายจ้างจะต้องดำเนินการให้พนักงานผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งไปด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 แล้วโจทก์ทั้งสิบเก้าจึงมีสิทธิได้ค่าชดเชย
ส่วนอุทธรณ์ที่เกี่ยวกับเงินกองทุนสงเคราะห์และดอกเบี้ยกับเงินบำเหน็จนั้น เห็นว่า เงินกองทุนสงเคราะห์นั้นจำเลยจัดให้มีขึ้นต่างหากไปจากค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและมีวัตถุประสงค์เพื่อสงเคราะห์พนักงานและทายาท เงินจำนวนนี้ส่วนหนึ่งเรียกเก็บจากพนักงานเป็นรายเดือน ส่วนเงินบำเหน็จเป็นเงินตอบแทนแก่ลูกจ้างที่ทำงานมาด้วยดีจนถึงวันออกจากงานซึ่งจำเลยจ่ายโดยอาศัยหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณทำนองเดียวกับกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญของข้าราชการซึ่งต่างจากวิธีคำนวณค่าชดเชย เงินกองทุนสงเคราะห์กับเงินบำเหน็จจึงมิใช่ค่าชดเชยแม้จะมีจำนวนมากกว่าค่าชดเชยก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสิบเก้าที่จะเรียกค่าชดเชยจากจำเลยอีก
จำเลยอุทธรณ์เป็นข้อสุดท้ายว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 19 ไม่ใช้สิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีด้วยความสมัครใจเอง โจทก์ดังกล่าวจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี เห็นว่าข้อเท็จจริงปรากฏตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยไม่ได้กำหนดล่วงหน้าให้โจทก์ดังกล่าวลาหยุดพักผ่อนได้ในช่วงใดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 10จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าโจทก์ดังกล่าวไม่ใช้สิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีเอง เมื่อจำเลยเลิกจ้างโดยที่โจทก์ดังกล่าวมิได้กระทำความผิดตามประกาศดังกล่าว ข้อ 47 จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ดังกล่าว”
พิพากษายืน

Share