แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก 4 คนร่วมกันมีปืนเป็นอาวุธทำการปล้นทรัพย์ ได้ความว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีอาวุธอะไรเลย และจำเลยที่ 1 มีเพียงมีดปลายแหลมอย่างเดียวเท่านั้น คนร้ายที่มีปืนคือพวกที่ยังจับตัวไม่ได้ ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรีแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 15
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,340 ตรี,83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 14,15 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามบทมาตราดังกล่าวด้วยจำเลยที่ 2 ฎีกา ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ถ้าศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 15 ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ได้ เพราะเป็นเหตุในลักษณะคดี.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก 4 คน ได้ร่วมกันมีปืนเป็นอาวุธติดตัวทำการปล้นเอารถยนต์ 1 คัน ราคา 54,300 บาท ของนายกำจร,แหวน 1 วง ราคา 1,600 บาท เงิน 100 บาท ของนายวิวัฒน์, นาฬิกาข้อมือ 1 เรือน ราคา 350 บาท เงิน 1,800 บาท ของพระสมุห์สมใจ ในการปล้นนี้จำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่เข็ญเจ้าทรัพย์ว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์ พาเอาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ ก่อนคดีนี้จำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 3 เดือน ปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด3 ปี จำเลยมากระทำผิดในคดีนี้ภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 340, 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 ให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 3,850 บาท แก่เจ้าทรัพย์ และนำเอาโทษของจำเลยที่ 1 ที่ศาลรอการลงโทษมาบวกกับโทษในคดีนี้
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 1 รับว่ายังอยู่ในระหว่างรอการลงโทษตามโจทก์ฟ้องจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2514 ข้อ14, 15 ให้จำคุก 24 ปี คำรับชั้นสอบสวนมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้1 ใน 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 18 ปี บวกโทษที่รอไว้3 เดือนเข้าด้วย รวมเป็นโทษ 18 ปี 3 เดือน ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 3,850 บาทแก่เจ้าทรัพย์ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี, 83 ให้จำคุก 18 ปี ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 3,850 บาทแก่เจ้าทรัพย์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ร่วมทำการปล้นทรัพย์ด้วย แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีอาวุธอะไรเลย และจำเลยที่ 1 มีเพียงมีดปลายแหลมเป็นอาวุธอย่างเดียวเท่านั้น คนร้ายที่มีอาวุธปืนคือพวกของจำเลยที่ยังจับตัวไม่ได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2514 ข้อ 15 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามบทกฎหมายดังกล่าวด้วย จึงยังไม่ถูกต้องและแม้จำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ได้ เพราะเป็นเหตุในลักษณะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225ส่วนในเรื่องราคาทรัพย์นั้น ได้ความตามคำนายวิวัฒน์เจ้าทรัพย์ว่าแหวนทองคำราคา 1,500 บาท มิใช่ 1,600 บาท ตามฟ้อง ฉะนั้นราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจึงรวมเป็นเงิน 3,750 บาทเท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสอง ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2514 ข้อ 14 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 16 ปี จำเลยที่ 1 รับสารภาพชั้นสอบสวนมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี บวกโทษที่รอไว้ 3 เดือนเข้าด้วย รวมเป็นโทษจำคุก 12 ปี 3 เดือนและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 3,750 บาทแก่เจ้าทรัพย์ด้วย