คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2321/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในระหว่างที่ศาลไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ได้ เพราะไม่มีกฎหมายห้ามกรณีเช่นนี้ให้นำบทบัญญัติเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่งมาตรา 179 และมาตรา 180 มาใช้บังคับ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโดยอ้างเหตุว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้องและมีคำสั่งต่อไปอีกว่าหากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายใน 7 วันเช่นนี้เห็นได้ว่าศาลชั้นต้นเพียงแต่ให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์เสียเท่านั้น หาได้มีคำสั่งยกคำฟ้องหรือไม่รับคำฟ้องของโจทก์ที่ยื่นพร้อมกับคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาแต่ประการใด ดังนั้นคำฟ้องเดิมของโจทก์ยังคงมีอยู่ เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องให้บริบูรณ์และกรณีเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 และมาตรา 180 โดยถูกต้อง ก็ชอบที่ศาลจะสั่งให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องนั้นได้ และชอบที่โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา156.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรและทายาทโดยธรรมของพลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ มีสิทธิรับทรัพย์มรดกตามกฎหมาย ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของพลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ มีทั้งหมด ๑๑ คน ขณะถึงแก่อนิจกรรมพลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ มีทรัพย์มรดกรวมราคา ๑๑๖,๑๗๒,๗๗๐ บาท ๔๔ สตางค์ โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับจำนวน ๒๑,๑๒๒,๓๒๑ บาท ๙๐ สตางค์ ทรัพย์สินอันเป็นกองมรดกทั้งหมดจำเลยทั้งสามเป็นผู้ครอบครองและได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกต่อศาลแพ่ง ขอให้พิพากษาให้จำเลยกับพวกแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินจำนวน ๒๑,๑๒๒,๓๒๑ บาท ๙๐ สตางค์
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘ ครั้นถึงวันนัด ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยโดยไม่จำต้องไต่สวนพยานโจทก์ จึงให้งดการไต่สวนและมีคำสั่งว่าตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามไม่ยอมแบ่งมรดกให้โจทก์อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แต่อย่างใด คดีของโจทก์จึงไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง ให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา หากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายใน ๗ วัน ต่อมาวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๒๘ โจทก์ยื่นคำร้อง ๒ ฉบับ ฉบับแรกขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่าทรัพย์สินอันเป็นกองมรดกทั้งหมดจำเลยทั้งสามเป็นผู้ครอบครอง และโจทก์ทั้งสองได้ติดต่อบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ทั้งสองตามสิทธิที่จะได้รับแล้ว แต่จำเลยทั้งสามไม่ยอมแบ่ง ส่วนคำร้องฉบับที่สองโจทก์ขอให้ศาลพิจารณาคำร้องขอฟ้องอย่างคนอนาถาใหม่โดยโจทก์ยื่นคำร้องว่า ได้ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องแล้ว ซึ่งตามคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ปรากฏว่า จำเลยทั้งสามไม่ยอมแบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์ทั้งสองอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ คดีของโจทก์จึงมีมูลที่จะฟ้องร้อง และโจทก์ทั้งสองเป็นคนยากจนไม่มีเงินจะเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ ขอให้ศาลพิจารณาคำร้องขอฟ้องอย่างคนอนาถาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องฉบับแรกที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่าศาลยังมิได้สั่งรับฟ้องจึงไม่มีคำฟ้องที่โจทก์จะขอแก้ได้ ให้ยกคำร้อง และสั่งคำร้องฉบับที่สองที่โจทก์ขอให้พิจารณาคำร้องขอฟ้องอย่างคนอนาถาใหม่ว่า ศาลสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและคำร้องขอแก้ฟ้องไปแล้ว ไม่มีเหตุที่จะสั่งไต่สวนใหม่ให้ยกคำร้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น เฉพาะที่เกี่ยวกับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องและคำร้องขอฟ้องอย่างคนอนาถาใหม่ของโจทก์ อนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องได้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องขอฟ้องอย่างคนอนาถาใหม่ของโจทก์ แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี นอกจากนี้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องได้ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องขอฟ้องอย่างคนอนาถาใหม่นั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ห้ามมิให้ฎีกา จะฎีกาได้ต่อเมื่อศาลมีคำพิพากษาหรือชี้ขาดคดีแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖ และมาตรา ๒๔๗ จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องและให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอฟ้องอย่างคนอนาถาใหม่ของโจทก์นั้น ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖, ๒๔๗ ให้ศาลชั้นต้นรับฎีกาจำเลยทั้งสามไว้ดำเนินการต่อไป
ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งรับฎีกาจำเลยทั้งสาม และส่งสำเนาให้โจทก์ทั้งสองแก้ โจทก์ทั้งสองได้รับสำเนาแล้วไม่แก้ฎีกา
ในปัญหาที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การที่โจทก์จะขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งรับฟ้องไว้พิจารณาแล้วเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อเรื่องนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งงดการไต่สวนอนาถาและยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์โดยสั่งว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลจะฟ้องร้องเพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามไม่ยอมแบ่งมรดกให้โจทก์ โจทก์ยังไม่เกิดสิทธิโต้แย้งตามกฎหมายจึงเท่ากับว่าศาลชั้นต้นยังมิได้สั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาแต่อย่างใดโจทก์จึงไม่มีอำนาจขอแก้ฟ้องในชั้นนี้ได้ เพราะเท่ากับไม่มีฟ้องเดิมของโจทก์ที่จะให้แก้ไขได้นั่นเอง ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคำร้องที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ก็ไม่เกิดสิทธิโต้แย้งตามกฎหมายแต่อย่างใด นอกจากนี้ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดอนุญาตให้โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในกรณีเช่นนี้ได้ด้วย เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องดังกล่าวแล้ว ศาลจึงไม่มีความจำเป็นต้องทำการไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ใหม่อีกครั้งนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีที่โจทก์ยื่นฟ้องแล้วขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้นศาลจะสั่งรับฟ้องของโจทก์ไว้ทันทีไม่ได้ จำต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๕ โดยจะต้องไต่สวนให้เป็นที่เชื่อได้ว่าโจทก์เป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมและโจทก์ผู้ขอจะต้องแสดงให้เป็นที่พอใจศาลด้วยว่าคดีของตนมีมูลที่จะฟ้องร้องศาลจึงจะอนุญาตให้โจทก์นั้นฟ้องคดีอย่างคนอนาถาได้ แล้วจึงจะมีคำสั่งให้รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาอย่างคดีอนาถาต่อไป เมื่อปรากฏว่าในระหว่างดำเนินการไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์อยู่นั้น ฟ้องเดิมของโจทก์ไม่บริบูรณ์ โจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติมตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๙ ซึ่งคำฟ้องเดิมกับคำฟ้องที่เสนอภายหลังนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ และจะต้องยื่นก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยานแล้วแต่กรณีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๘๐ สำหรับกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในคดีที่โจทก์ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในระหว่างที่ศาลไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาอยู่นั้นไม่มีบทกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องนั้นได้ กรณีเช่นนี้จึงต้องนำบทบัญญัติเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๙ และมาตรา ๑๘๐ มาใช้บังคับด้วย ซึ่งก็ไม่ขัดกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด คดีนี้ปรากฏว่าในชั้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ยังส่งสำเนาคำร้องและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสามไม่ได้ ศาลชั้นต้นก็มีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาเสียโดยอ้างเหตุว่า คดีของโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง และมีคำสั่งต่อไปอีกว่า หากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายใน ๗ วัน เช่นนี้จะเห็นได้ว่าศาลชั้นต้นเพียงแต่ให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์เสียเท่านั้น หาได้มีคำสั่งยกคำฟ้องหรือไม่รับคำฟ้องของโจทก์ที่ยื่นพร้อมกับคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาแต่ประการใดไม่ ดังนั้น คำฟ้องเดิมของโจทก์ยังคงมีอยู่เช่นเดิม เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องให้บริบูรณ์และคำฟ้องที่โจทก์ขอเพิ่มเติมนั้นก็เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ และยื่นคำร้องนั้นก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยานเมื่อกรณีเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๙ และมาตรา ๑๘๐ โดยถูกต้องแล้วก็ชอบที่ศาลจะสั่งให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องนั้นได้ และชอบที่โจทก์จะยื่นคำร้อง ขอให้ไต่สวนขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๖ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องได้และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องขอฟ้องอย่างคนอนาถาใหม่ของโจทก์แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีนั้น จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share