คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3403/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยไม่ยอมรับโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานของโรงงานสุราบางยี่ขันเข้าทำงานกับจำเลยตามสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันระหว่างกรมโรงงานอุตสาหกรรมกับจำเลยซึ่งจำเลยได้ให้สัญญาว่าจะรับพนักงานของโรงงานสุราบางยี่ขัน และ เมื่อโจทก์ซึ่งมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ในสัญญาดังกล่าวได้แสดงความจำนงจะเข้าทำงานกับจำเลยแล้วนั้น จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดสัญญา ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
ค่าเสียหายของโจทก์ในกรณีนี้คือเงินที่โจทก์พึงได้รับจากจำเลยหากจำเลยรับโจทก์เข้าทำงาน และเมื่อโจทก์มีรายได้จากการทำงานกับบริษัทอื่นหลังจากที่จำเลยไม่ยอมรับโจทก์เข้าทำงานแล้วก็ต้องนำรายได้นั้นมาหักจากจำนวนเงินที่โจทก์พึงได้จากจำเลยดังกล่าวด้วย
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลแพ่งเป็นการไม่ชอบเพราะโจทก์ต้องฟ้องต่อศาลแรงงานกลางตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 9 นั้นจำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในคำให้การ คดีจึงไม่มีประเด็นในเรื่องนี้แม้จะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรจะยกขึ้นวินิจฉัย จึงไม่วินิจฉัยให้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าภาษีเงินได้ที่โจทก์จะต้องชำระแก่กรมสรรพากรแทนโจทก์มาด้วย โจทก์ก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ที่เรียกร้องโจทก์จะมาอ้างว่าเป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องเสียภาษีเงินได้ของโจทก์ต่อกรมสรรพากรแล้วขอคืนเงินค่าขึ้นศาลดังกล่าวหาได้ไม่
ตามสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันฯ ระบุให้จำเลยจ่ายบำเหน็จแก่พนักงานของจำเลยเท่านั้น โจทก์มิได้เป็นพนักงานของจำเลยเนื่องจากจำเลยไม่ยอมรับโจทก์เข้าทำงานแล้วจึงไม่มีสิทธิเรียกเงินบำเหน็จดังกล่าวสิทธิของโจทก์มีเพียงเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่การผิดสัญญาเท่านั้นและหากจะถือว่าโจทก์เรียกร้องเงินบำเหน็จมาในฐานะเป็นค่าเสียหาย เมื่อค่าเสียหายที่ศาลกำหนดให้มาเหมาะสมแล้ว โจทก์จึงไม่สมควรได้รับเงินบำเหน็จนั้นในฐานะเป็นค่าเสียหายอีก
ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยชำระภาษีเงินได้แทนโจทก์ตามที่โจทก์ต้องชำระต่อกรมสรรพากรในยอดค่าเสียหายที่ศาลกำหนดให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ เมื่อปรากฏว่าตามสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันฯ ระบุให้จำเลยมีหน้าที่ชำระภาษีเงินได้แทนพนักงานหรือคนงานของจำเลยเท่านั้นจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ชำระภาษีเงินได้ดังกล่าวแทนโจทก์และเมื่อค่าเสียหายที่ศาลกำหนดให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์เป็นจำนวนพอสมควรแล้วจำเลยจึงไม่ต้องชำระค่าภาษีเงินได้ดังกล่าวแทนโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นพนักงานของบริษัทสุรามหาคุณ จำกัด ซึ่งเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในตำแหน่งนายช่างใหญ่งานฝ่ายเทคนิค ก่อนสัญญาเช่าดังกล่าวจะสิ้นสุดลง จำเลยประมูลการเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันได้ และทำสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมระหว่างปี 2523 ถึงปี 2537 ตามสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันมีว่าจำเลยตกลงยอมรับพนักงานที่บริษัทสุรามหาคุณ จำกัด ผู้เช่าเดิมจ้างไว้ปฏิบัติงานซึ่งประสงค์จะเข้าทำงานกับจำเลยต่อไป โดยยื่นใบสมัครกับจำเลย จำเลยจะต้องจ่ายค่าจ้างและเงินอื่น ๆไม่น้อยกว่าที่พนักงานนั้นได้รับอยู่ก่อนโจทก์จึงมีสิทธิที่จะทำงานกับจำเลยต่อไปในตำแหน่งนายช่างใหญ่ เงินเดือนเดือนละ 37,400 บาท เพราะกองช่างที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นงานแก้ไขปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิตแอลกอฮอล์เป็นฝ่ายเทคนิคโดยตรง วันที่ 3 ธันวาคม 2522 โจทก์ได้แสดงความจำนงต่อจำเลยขอเข้าทำงาน จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานแล้ว ต่อมาวันที่ 3 มกราคม 2523 โจทก์ทราบว่าจำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับโจทก์เข้าทำงานอันเป็นการผิดสัญญาเช่าข้อ 53 อันเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกและเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จะต้องเกษียณอายุการทำงานในวันที่ 31 ธันวาคม 2523 ทำให้โจทก์ขาดรายได้ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติคุณ ขอให้บังคับให้โจทก์มีสิทธิทำงานในบริษัทจำเลยในตำแหน่งนายช่างใหญ่ กองช่าง โรงงานสุราบางยี่ขันและมีสิทธิรับเงินเดือน ค่าครองชีพ โบนัส เงินสวัสดิการ เงินภาษีเงินได้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2523 เป็นต้นไปโดยถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 1,536,384.86 บาท ให้จำเลยเป็นผู้ชำระภาษีเงินได้ของโจทก์ต่อกรมสรรพากรเป็นเงิน 1,815,327.30 บาท กับให้จำเลยจ่ายค่าสินไหมทดแทนอีกเป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช่ผู้ทำงานฝ่ายเทคนิคตามความในสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขัน จำเลยจึงมีสิทธิไม่รับโจทก์เข้าทำงานต่อไปตามสัญญาเช่าข้อ 53 นอกจากนี้โจทก์ได้ไปทำงานกับบริษัทผลิตสุราอื่นซึ่งดำเนินกิจการค้าสุราแข่งขันกับโรงงานสุราบางยี่ขัน ชอบที่จำเลยจะไม่รับโจทก์เข้าทำงานโจทก์มิได้ยื่นใบสมัครต่อจำเลยภายในเวลาที่กำหนดไว้ ไม่มีสิทธิอ้างสิทธิตามสัญญาเช่าข้อ 53 ส่วนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องนั้น เงินเดือนนของโจทก์มิได้สูงดังกล่าวในฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าชดเชยเมื่อเกษียณอายุ เงินโบนัสพิเศษ และค่าภาษีเงินได้ของโจทก์ต่อกรมสรรพากร และไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนใด ๆ จากจำเลย ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายการคำนวณค่าเสียหายจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม คำขอที่ให้โจทก์มีสิทธิทำงานในบริษัทจำเลยนั้นสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับกันได้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 561,775.69 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยชำระค่าภาษีเงินได้แทนโจทก์ในยอดเงิน 561,775.69 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะโดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาทแทนโจทก์

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้ปฏบัติงานอยู่ในฝ่ายเทคนิคแล้ววินิจฉัยว่าการที่จำเลยไม่ยอมรับโจทก์เข้าทำงานกับจำเลยตามสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันระหว่างกรมโรงงานอุตสาหกรรมกับจำเลยซึ่งจำเลยได้ให้สัญญาว่าจะรับพนักงานของโรงงานสุราบางยี่ขันด้วยและเมื่อโจทก์ได้แสดงความจำนงจะเข้าทำงานกับจำเลยแล้วนั้นจำเลยจึงตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้

ที่จำเลยฎีกาว่าคดีนี้โจทก์ต้องฟ้องต่อศาลแรงงานกลางตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 9 นั้น เห็นว่าปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในคำให้การคดีจึงไม่มีประเด็นในเรื่องนี้ แม้จะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ศาลฎีกาเห็นไม่สมควรจะยกขึ้นวินิจฉัย จึงไม่วินิจฉัยให้

สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ว่า โจทก์นำเอาจำนวนเงิน ค่าภาษีเงินได้ที่จำเลยต้องชำระแทนโจทก์ให้แก่กรมสรรพากรเป็นเงิน 1,815,327.30 บาท มาคำนวณเป็นทุนทรัพย์โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลส่วนนี้เป็นเงิน 45,382.50 บาท จึงเป็นค่าธรรมเนียมที่โจทก์ชำระเกิน ขอให้ศาลสั่งคืนค่าขึ้นศาลจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อเอาเงินค่าภาษีเงินได้ของโจทก์ที่จะต้องชำระแก่กรมสรรพากรมาด้วยโจทก์ก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง โจทก์จะอ้างว่าเป็นเรื่องของจำเลยจะต้องเสียภาษีเงินได้ของโจทก์ต่อกรมสรรพากรแล้วขอคืนเงินค่าขึ้นศาลดังกล่าวหาได้ไม่มีปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า การนำรายได้ของโจทก์ที่ได้จากการทำงานกับบริษัทสุราไทยทำ จำกัด มาหักออกจากเงินได้ที่โจทก์ควรจะได้รับจากจำเลยได้หรือไม่และการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ให้เงินบำเหน็จจำนวน 99,360 บาท โดยอ้างว่าโจทก์ไม่ได้นำสืบค่าเสียหายส่วนนี้ไว้นั้นเป็นการชอบหรือไม่พิเคราะห์ปัญหาแรกแล้วเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังจากจำเลยไม่ยอมรับโจทก์เข้าทำงานแล้ว โจทก์ไปทำงานกับบริษัทสุราไทยทำ จำกัด และมีรายได้จำนวนหนึ่ง ในการคำนวณค่าเสียหายของโจทก์ศาลล่างทั้งสองได้นำรายได้ดังกล่าวยไปหักออกจากเงินที่โจทก์พึงได้จากจำเลย หากจำเลยรับโจทก์เข้าทำงานศาลฎีกาเห็นว่า การคำนวณค่าเสียหายโดยวิธีดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้วสำหรับปัญหาเรื่องเงินบำเหน็จ 99,360 บาทนั้น โจทก์นำสืบว่าจำเลยจะต้องจ่ายเงินบำเหน็จแก่พนักงานและคนงานของจำเลยเป็นรายปี ปีละ 1 เดือน ถ้าปีใดมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกจะจ่ายให้ 2 เดือน ตามสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันฯในปี พ.ศ. 2523 ที่จำเลยไม่รับโจทก์เข้าทำงานมีการประกาศใช้กฎอัยการศึก โจทก์จึงมีสิทธิได้รับ 2 เดือน เป็นเงิน 99,360 บาทนั้น เห็นว่า ตามสัญญาดังกล่าวเป็นเรื่องจำเลยจะต้องจ่ายบำเหน็จให้แก่พนักงานของจำเลย แต่โจทก์มิได้เป็นพนักงานของจำเลยเนื่องจากจำเลยไม่ยอมรับโจทก์เป็นพนักงานของจำเลยเสียแล้ว สิทธิของโจทก์จึงมีเพียงเรียกค่าเสียหายที่เกิดแต่การผิดสัญญาดังกล่าวเท่านั้น หามีสิทธิเรียกร้องเงินบำเหน็จดังกล่าวในฐานะเป็นพนักงานหรือคนงานของจำเลยไม่ และหากจำถือว่าโจทก์เรียกร้องเงินจำนวนนี้ในฐานะที่เป็นค่าเสียหาย ศาลฎีกาเห็นว่าค่าเสียหายจำนวน 561,775.69 บาทที่ศาลล่างกำหนดให้โจทก์นั้นพอสมควรแล้ว โจทก์ไม่สมควรได้รับชดใช้ค่าเสียหายเพิ่มขึ้นอีกฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน ปัญหาสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยคือโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้เพียงใด เห็นว่า สำหรับจำนวนค่าเสียหายของโจทก์นั้น ศาลล่างทั้งสองกำหนดมาเหมาะสมแล้ว แต่เฉพาะภาษีเงินได้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระแทนโจทก์ตามที่โจทก์จะต้องชำระต่อกรมสรรพากร ในยอดเงินค่าเสียหายจำนวน 561,775.69 บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันฯ ข้อ 54(7) ระบุให้จำเลยมีหน้าที่ชำระค่าภาษีเงินได้แทนพนักงานหรือคนงานของจำเลยเท่านั้น เมื่อโจทก์มิใช่พนักงานหรือคนงานของจำเลยจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ชำระภาษีเงินได้แทนโจทก์ และตามพฤติการณ์แห่งคดีนี้ค่าเสียหายที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์เป็นจำนวนพอสมควรแล้ว จึงไม่สมควรให้จำเลยต้องชำระค่าภาษีเงินได้แทนโจทก์ต่อกรมสรรพากรในยอดเงินค่าเสียหายจำนวน 561,775.69 บาทนั้นอีก

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าภาษีเงินได้แทนโจทก์ในยอดเงิน561,775.69 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share