แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะเกิดเหตุรถของจำเลยที่ 2 กำลังจอดอยู่กลางถนนจำเลยที่ 2 พยายามจะเคลื่อนรถให้พ้นจากการกีดขวางบนถนน แต่ทำไม่ได้ จึงได้เปิดไฟกะพริบหน้าหลังและเปิดไฟใหญ่หน้ารถไว้เป็นที่สังเกต นับว่าเป็นการกระทำตามสมควรที่จำเลยที่ 2 จะกระทำได้ใน สถานการณ์เช่นนั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่ารถของตนกีดขวางการจราจร บนถนนอยู่ การที่จำเลยที่ 1 ขับรถมาโดยเร็ว แล้วชนรถของ จำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้มี คนได้รับอันตรายแก่กายและอันตรายสาหัส จึงเป็นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว มิใช่เป็นผลจาก การกระทำของจำเลยที่ 2 ด้วยจำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและอันตรายสาหัส
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกจำเลยคนละ 1 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 1 ปี และปรับ1,000 บาท จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43, 157 ลงโทษปรับ 500 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 1 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300, 390 ด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขณะเกิดเหตุรถของจำเลยที่ 2 กำลังจอดอยู่กลางถนนจำเลยที่ 2 พยายามจะเคลื่อนรถให้พ้นจากการกีดขวางบนถนน แต่ทำไม่ได้เพราะเครื่องยนต์ดับและเกียร์ค้าง จำเลยที่ 2 ได้เปิดไฟกระพริบหน้าหลังและเปิดไฟใหญ่หน้ารถไว้ด้วยเพื่อเป็นที่สังเกต นับว่าเป็นการกระทำตามสมควรที่จำเลยที่ 2จะกระทำได้ในสถานการณ์เช่นนั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่ารถของตนกีดขวางการจราจรบนถนนอยู่ การที่จำเลยที่ 1 ขับรถมาโดยเร็ว แล้วชนรถของจำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้มีคนได้รับอันตรายแก่กายและอันตรายสาหัส จึงเป็นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่เพียงฝ่ายเดียวมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 2ด้วยแต่อย่างใด ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน