แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำหนังสือสัญญาให้ผู้เสียหายหนึ่งฉะบับ มีข้อความว่า ผู้เสียหายเช่าเรือนายประเสริฐ จ่ายค่าเช่าให้นายประเสริฐแล้วครึ่งหนึ่งหกพันบาท อีกครึ่งหนึ่งจะจ่ายทีหลัง ท้ายหนังสือสัญญาช่องผู้ให้เช่า จำเลยลงชื่อ แต่ลงชื่อว่า ประเสริฐ สุวรรณรังษี ไม่ใช่ชื่อที่แท้จริงของจำเลย แล้วมอบสัญญาให้ผู้เสียหายไป ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้เสียหายในการที่จะเอาสัญญานี้ไปแสดงต่อสามี ขอเงินมาทำทุนการค้า ดังนี้ เป็นเพียงจำเลยแต่งหนังสือขึ้นฉะบับหนึ่ง อาศัยเนื้อเรื่องที่ผู้เสียหายนึกสมมุติขึ้น มิใช่เป็นการปลอมหนังสือจึงหามีความผิดฐานปลอมหนังสือไม่
ย่อยาว
ได้ความว่า นางมาลีวรรณผู้เสียหายปรารถกับจำเลยว่า อุตส่าห์หาทรัพย์สินด้วยการค้า แต่สามีไปมีภรรยาน้อย จึงคิดจะปลีกตัวย้ายร้านค้าจากหัวเมืองมาอยู่กรุงเทพฯ ขอให้จำเลยร่วมงานด้วย และขอให้จำเลยช่วยทำหนังสือสัญญาเป็นว่า นางมาลีวรรณเช่าเรือจำเลยบรรทุกเกลือ เพื่อจะได้ไปแสดงต่อสามี ขอเงินมาซื้อเกลือ แล้วเอาเงินมาลงทุนตั้งร้านค้า จำเลยเป็นหม้าย ภรรยาตาย คิดจะเอาผู้เสียหายเป็นภรรยาจึงยอมช่วย ทำหนังสือให้แต่ไม่ยอมลงชื่อจริง หนังสือสัญญา ซึ่งจำเลยทำให้มีความว่า นางมาลีวรรณ เช่าเรือนายประเสริฐ จ่ายค่าเช่าให้นายประเสริฐแล้วครึ่งหนึ่ง หกพันบาท ที่ค้างอีกครึ่งหนึ่ง นางมาลีวรรณจะจ่ายทีหลัง ท้ายหนังสือสัญญาช่องผู้ให้เช่า จำเลยลงชื่อ แต่ลงชื่อว่า ประเสริฐ สุวรรณรังษี เสร็จแล้วมอบให้นางมาลีวรรณ
โจทก์ฟ้องจำเลยหาว่าปลอมหนังสือ
ศาลทหารกรุงเทพฯ พิพากษายกฟ้อง
ศาลทหารกลางพิพากษากลับให้ลงโทษ ตามมาตรา ๒๒๔
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏดังกล่าวแล้ว เป็นเพียงจำลยแต่งหนังสือขึ้นฉะบับหนึ่ง อาศัยเนื้อเรื่องที่นางมาลีกวรรนึกสมมุติขึ้น มิใช่เป็นการที่จำเลยปลอมหนังสือ หามีความผิดฐานปลอมหนังสือไม่ จึงพิพากษาให้ยกฟ้อง