คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3058/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยขอเงินค่าจอดรถจากผู้เสียหายทั้งสองคนละ10บาทแต่ผู้เสียหายทั้งสองไม่ให้จำเลยจึงพูดขู่จะต่อยผู้เสียหายที่1และนำเอาอาวุธมีดปลายแหลมมาจ่อห่างจากไหล่ผู้เสียหายที่2ประมาณ7ถึง8นิ้วแล้วพูดขู่ให้ส่งเงินให้ผู้เสียหายทั้งสองเกิดความกลัวจึงมอบเงินให้จำเลยคนละ10บาทแม้จำเลยจะไม่มีอำนาจเรียกเก็บเงินค่าจอดรถจากผู้เสียหายทั้งสองแต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวก็มิได้ขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งสองตั้งแต่ต้นแสดงว่าจำเลยมิได้มุ่งหมายขู่บังคับเอาเงินค่าจอดรถจากผู้เสียหายทั้งสองโดยตรงมาแต่แรกเงินที่จำเลยเรียกเก็บเป็นเงิน10บาทเท่ากันทุกรายและมิได้ขู่เข็ญเอาเงินจากผู้ขับรถมากเกินไปจากนี้เพียงแต่ว่าหากผู้ขับรถรายใดไม่ให้ค่าจอดรถก็ต้องนำรถไปจอดที่อื่นหรือหากยืนยันจะจอดรถในบริเวณที่เกิดเหตุจำเลยจึงขู่เข็ญจะทำร้ายซึ่งผู้ขับรถและผู้เสียหายทั้งสองยังสามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้เงินจำเลยหรือไม่ก็ได้หากไม่ให้เงินก็นำรถไปจอดที่อื่นมิฉะนั้นอาจถูกทำร้ายตามที่จำเลยขู่การขู่เข็ญของจำเลยจึงเป็นการขู่โดยมีเงื่อนไขดังกล่าวจำเลยจึงมิได้มีเจตนาแย่งการครอบครองเงินของผู้เสียหายทั้งสองโดยตรงการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์และไม่อาจเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ได้แต่การกระทำของจำเลยเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายทั้งสองให้ยอมให้หรือยอมจะให้เงินค่าจอดรถแก่จำเลยโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิตร่างกายของผู้เสียหายทั้งสองจนผู้เสียหายทั้งสองยอมตามจึงเป็นความผิดฐานกรรโชกสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา337

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339,371, 91 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง, 371 ประกอบมาตรา 80, 91ให้เรียงกระทงลงโทษฐานชิงทรัพย์นายยัน จำคุก 12 ปี ฐานพยายามชิงทรัพย์นายบุญเลี้ยง จำคุก 8 ปี ฐานพาอาวุธมีดปรับ 100 บาท รวมจำคุก 20 ปี และปรับ 100 บาท ริบอาวุธมีดและสมุดรายการเก็บเงิน
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคสอง(1)(2) ประกอบด้วยมาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78แล้วคงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้เถียงกันว่า คืนเกิดเหตุจำเลยได้ออกตระเวนเก็บเงินค่าจอดรถจากนายยัน เพริดพริ้ง และนายบุญเลี้ยง ดอนสนาม ผู้เสียหายทั้งสองและผู้ที่นำรถยนต์แท็กซี่รับจ้างหรือรถยนต์สามล้อรับจ้างมาจอดบริเวณที่เกิดเหตุโดยจำเลยมีสมุดบันทึกติดตัวมา 1 เล่ม เพื่อบันทึกว่าผู้ใดได้จ่ายเงินค่าจอดรถแล้วหรือไม่ เงินที่จำเลยเก็บเป็นเงิน 10 บาทเท่ากันทุกรายและมิได้ขู่เข็ญเอาเงินจากผู้ขับรถมากเกินไปกว่านี้เพียงแต่ว่าหากผู้ขับรถรายใดไม่ให้เงินค่าจอดรถก็ต้องนำรถไปจอดที่บริเวณอื่นหรือหากยืนยันจะจอดรถในบริเวณที่เกิดเหตุ จำเลยจึงขู่เข็ญจะทำร้ายผู้ขับรถที่ไม่ยอมจ่ายเงินให้เท่านั้น โดยจำเลยอ้างอำนาจว่ามีเจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยเป็นผู้เก็บเงินค่าจอดรถสำหรับนายยัน เพริดพริ้ง ผู้เสียหายที่ 1 ขับรถยนต์สามล้อรับจ้างมาจอดเมื่อจำเลยมาขอเงินจำนวน 10 บาท เป็นค่าจอดรถผู้เสียหายที่ 1 ไม่ให้จำเลยขู่ว่าถ้าจะจอดที่นี่ต้องเสียเงินถ้าไม่ให้เงินจะต่อย ผู้เสียหายที่ 1 จึงให้ธนบัตรเป็นเงิน 10 บาท แก่จำเลย ส่วนนายบุญเลี้ยง ดอนสนาม ผู้เสียหายที่ 2 ขับรถยนต์แท็กซี่รับจ้างมาจอด จำเลยเข้ามาขอเงินจากผู้เสียหายที่ 2 จำนวน10 บาท เป็นค่าจอดรถ ครั้งแรกผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยอมให้ จำเลยบอกว่าถ้าไม่ให้ก็ไม่ต้องจอดและนำอาวุธมีดปลายแหลมออกมาจ่อห่างจากไหล่ผู้เสียหายที่ 2 ประมาณ 7 ถึง 8 นิ้ว แล้วพูดขู่ให้ส่งเงินให้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะทำร้ายหรือใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์โดยผู้เสียหายที่ 1 ได้มอบเงินให้จำเลยแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จ ส่วนผู้เสียหายที่ 2 ยังไม่ได้ให้เงินแก่จำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยพูดขู่ผู้เสียหายที่ 1 ว่าถ้าจอดรถที่นี่ต้องเสียเงินถ้าไม่ให้เงินจะต่อย ผู้เสียหายที่ 1เกิดความกลัวว่าจะถูกจำเลยต่อยจึงมอบเงินจำนวน 10 บาทให้จำเลยไปก็ดี การที่จำเลยขอเงินค่าจอดรถจากผู้เสียหายที่ 2จำนวน 10 บาท เมื่อผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยอมให้จำเลยก็บอกว่าถ้าไม่ให้ก็ไม่ต้องจอดแล้วนำอาวุธมีดปลายแหลมมาจ่อห่างจากไหล่ผู้เสียหายที่ 2 ประมาณ 7 ถึง 8 นิ้วแล้วพูดขู่ให้ส่งเงินให้ผู้เสียหายที่ 2 ยอมจ่ายเงินให้จำเลยเนื่องจากความกลัวว่าจำเลยจะใช้มีดแทง แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่า จำเลยยังไม่ได้เงินจากผู้เสียหายที่ 2 ก็ดี แม้จำเลยจะไม่มีอำนาจเรียกเก็บเงินค่าจอดรถจากผู้เสียหายทั้งสองและขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะทำร้ายหรือใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายทั้งสองแต่จำเลยก็มิได้ขู่เข็ญว่าจะทำร้ายหรือใช้กำลังประทุษร้ายผู้ที่ขับรถมาจอดรวมทั้งผู้เสียหายทั้งสองตั้งแต่ต้นแสดงว่าจำเลยมิได้มุ่งหมายขู่บังคับเอาเงินค่าจอดรถจากผู้เสียหายทั้งสองโดยตรงมาแต่แรก เงินที่จำเลยเรียกเก็บเป็นเงินจำนวน 10 บาทเท่ากันทุกรายและมิได้ขู่เข็ญเอาเงินจากผู้ขับรถมากเกินไปจากนี้เพียงแต่ว่าหากผู้ขับรถรายใดไม่ให้ค่าจอดรถก็ต้องนำรถไปจอดที่บริเวณอื่นหรือหากยืนยันจะจอดรถในบริเวณที่เกิดเหตุจำเลยจึงขู่เข็ญจะทำร้ายผู้ขับรถที่ไม่ยอมจ่ายเงินให้เท่านั้น ซึ่งผู้ขับรถและผู้เสียหายทั้งสองยังสามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้เงินจำเลยก็ได้หรือไม่ให้ก็ได้ หากไม่ให้เงินก็นำรถไปจอดที่อื่น มิฉะนั้นอาจถูกจำเลยทำร้ายตามที่จำเลยขู่การขู่เข็ญของจำเลยจึงเป็นการขู่โดยมีเงื่อนไขดังกล่าว จำเลยจึงมิได้มีเจตนาแย่งการครอบครองเงินของผู้เสียหายทั้งสองโดยตรง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ และไม่อาจเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ได้ แต่การกระทำของจำเลยเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายทั้งสองให้ยอมมอบให้หรือยอมจะให้เงินค่าจอดรถแก่จำเลยโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิตร่างกายของผู้เสียหายทั้งสองจนผู้เสียหายทั้งสองยอมตามจึงเป็นความผิดฐานกรรโชกสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share