คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4418/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ริบรถยนต์กระบะของกลางของจำเลยที่ 1 ทั้งที่ได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 1 เพียงแต่ใช้รถยนต์กระบะเป็นยานพาหนะเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ มิได้ใช้ในการกระทำความผิดในคดีนี้โดยตรง และพิพากษาให้ริบรถยนต์กระบะของกลางของจำเลยที่ 2 ทั้งที่จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายแล้วและสิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ระงับลงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) และโทษย่อมระงับไปด้วยความตายของผู้กระทำผิดตาม ป.อ. มาตรา 38 จึงเป็นการไม่ชอบ แม้ฝ่ายจำเลยมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง (เดิม), 66 วรรคสอง (เดิม), 102 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นกรรมเดียวกันและระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบกับมาตรา 53 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนและรถยนต์กระบะของกลาง ส่วนโทรศัพท์มือถือของกลางทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ใช้สำหรับติดต่อซื้อขายยาเสพติดให้โทษในคดีนี้ จึงไม่ใช่เครื่องมือเครื่องใช้หรือวัตถุซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102 จึงไม่อาจริบได้ ให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนนี้ และให้คืนโทรศัพท์มือถือของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกับผู้อื่นมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันจำหน่ายตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยและพิพากษาลงโทษมา พยานหลักฐานจำเลยที่ 1 ที่นำสืบว่าตนไม่ได้กระทำความผิดและถูกทำร้ายร่างกายจนต้องรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ริบรถยนต์กระบะของกลางของจำเลยที่ 1 ทั้งที่ได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 1 เพียงแต่ใช้รถยนต์กระบะเป็นยานพาหนะเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ มิได้ใช้ในการกระทำความผิดในคดีนี้โดยตรง และพิพากษาให้ริบรถยนต์กระบะของกลางของจำเลยที่ 2 ทั้งที่จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายแล้วและสิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ระงับลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) และโทษย่อมระงับไปด้วยความตายของผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 38 นั้น เป็นการไม่ชอบ แม้ฝ่ายจำเลยมิได้ฎีกาในปัญหานี้แต่เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้ไขให้ถูกต้องได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบรถยนต์กระบะของกลาง โดยให้คืนแก่เจ้าของนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share