คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4261/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่า บ้านพิพาทบิดามารดาจำเลยปลูกสร้างขึ้น จำเลยอยู่ในบ้านดังกล่าวโดยอาศัยสิทธิของบิดามารดา ถือไม่ได้ว่าจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาท จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ต่อมาศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทในฐานะผู้ให้เช่าชอบที่จะได้รับประโยชน์ในบ้านพิพาท เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าโจทก์บอกเลิกการเช่าโดยชอบแล้วโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายได้ เมื่อคดีนี้โจทก์ในฐานะผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยในฐานะผู้เช่าให้ออกจากบ้านพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อันมีค่าเช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยอยู่ในบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิครอบครองของบิดามารดาจำเลยบ้านพิพาทเป็นของจำเลยและสัญญาเช่าปลอม ล้วนแต่เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านเช่าพิพาทและส่งมอบการครอบครองให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้ชำระค่าเสียหายอัตราเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบบ้านเช่าคืนโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของบ้านเช่าเพราะปลูกสร้างในที่ชายตลิ่งซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทั้งโจทก์ไม่ได้ทำการปลูกสร้างหรือเคยเข้าไปครอบครองบ้านเช่าแต่อย่างใด แต่มีบุคคลผู้มีชื่อเข้าอาศัยและทำการปลูกสร้าง จำเลยไม่เคยทำสัญญาเช่าบ้านดังกล่าวจากโจทก์และไม่เคยชำระเงินค่าเช่าบ้านให้แก่โจทก์สัญญาเช่าที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอม โจทก์และจำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านโดยอาศัยสิทธิของบิดามารดาจำเลยที่ได้ปลูกสร้างและครอบครองเป็นเวลา 40 ปีแล้ว จำเลยอยู่อาศัยในฐานะบริวารของบิดามารดาจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านเช่าเลขที่ 107/1 ฝั่งบางใบไม้ ตำบลตลาด อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานีและส่งมอบแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 9 มิถุนายน 2541) จนกว่าจะชำระเสร็จและให้ชำระอีกเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยส่งมอบบ้านเช่าคืนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…จำเลยฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท แต่จำเลยให้การต่อสู้ว่า บ้านพิพาทไม่ใช่บ้านของโจทก์ จำเลยไม่เคยเช่าบ้านพิพาทจากโจทก์ บ้านพิพาทเป็นของบิดามารดาจำเลยเป็นผู้ปลูกสร้างในที่ดินสาธารณะมาประมาณ 40 ปีแล้ว ไม่ได้ปลูกสร้างบนที่ดินของโจทก์ จำเลยอยู่อาศัยในบ้านพิพาทโดยครอบครองต่อจากบิดามารดาจำเลย มิได้เช่าจากโจทก์ จึงเป็นการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาท เป็นคดีที่ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า คดีนี้ จำเลยให้การว่า บ้านพิพาทบิดามารดาจำเลยปลูกสร้างขึ้น จำเลยอยู่ในบ้านดังกล่าวโดยอาศัยสิทธิของบิดามารดา ถือไม่ได้ว่าจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาท จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ต่อมาศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้วใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลย โดยวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทในฐานะผู้ให้เช่า ชอบที่จะได้รับประโยชน์ในบ้านพิพาท เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าโจทก์บอกเลิกการเช่าโดยชอบแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายได้ เมื่อคดีนี้โจทก์ในฐานะผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยในฐานะผู้เช่าให้ออกจากบ้านพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่จำเลยเช่า อันมีค่าเช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยอยู่ในบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิครอบครองของบิดามารดาจำเลย บ้านพิพาทเป็นของจำเลยและสัญญาเช่าปลอมนั้น ล้วนแต่เป็นอุทธรณ์ที่โต้เถียงในข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share