แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทางนำสืบของโจทก์นอกจากคดีนี้แล้ว จำเลยยังถูกดำเนินคดีในข้อหาลักษณะเดียวกันกับในคดีนี้อีกหลายคดี ซึ่งลักษณะ วิธี หรือรูปแบบเฉพาะในการกระทำความผิดของจำเลยมีลักษณะเช่นเดียวกับคดีนี้ คือการที่มีผู้นำรถยนต์มาขอสินเชื่อ จำเลยทำการประเมินขอสินเชื่อจากผู้เสียหายแล้วมีการปลอมใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ ซึ่งสามารถนำมาฟังประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/2 วรรคหนึ่ง (2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 268, 341 ให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงิน 190,000 บาท แก่ผู้เสียหาย กับนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาดังกล่าวและคดีอาญาหมายเลขดำที่ 569 – 571/2552 และ 573/2552 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 341, 83 ความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมกับฐานฉ้อโกงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอม เป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 3 เดือน ให้จำเลยคืนเงิน 190,000 บาท แก่ผู้เสียหายและนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1843/2553, 1733/2553 และ 1965/2553 ของศาลชั้นต้น ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ และยกคำขอให้นับโทษต่อในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 569/2552, 571/2552 และ 573/2552 ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายกิตติพงศ์นำรถยนต์หมายเลขทะเบียน กข 8835 ศรีสะเกษ พร้อมใบคู่มือจดทะเบียนมาขอสินเชื่อจากผู้เสียหาย โดยติดต่อผ่านจำเลยซึ่งเป็นพนักงานการตลาด จำเลยตรวจสอบรถ ใบคู่มือจดทะเบียน บัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของนายกิตติพงศ์แล้วพบว่า รถคันดังกล่าวมีชื่อนายกิตติพงศ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เลขตัวรถกับเครื่องยนต์ตรงกับที่ระบุในใบคู่มือจดทะเบียน จึงทำใบคำขอสินเชื่อ ใบประเมินคำขอสินเชื่อ ถ่ายรูปจำเลยคู่กับรถลอกเลขตัวรถลงในใบยืนยันรูปรถและลูกค้ากับเลขโครงรถ เสนอผู้เสียหายพร้อมเอกสารที่ตรวจสอบแล้ว ตามขั้นตอนการให้สินเชื่อของผู้เสียหายหลังจากผู้เสียหายพิจารณาแล้วอนุมัติสินเชื่อให้นายกิตติพงศ์ 195,000 บาท จำเลยมิได้ไปโอนทะเบียนรถด้วยตนเอง โดยมอบชุดโอนลอยซึ่งเป็นแบบคำขอโอนและรับโอนที่ยังไม่ได้กรอกข้อความพร้อมหนังสือมอบอำนาจที่มีลายมือชื่อของผู้มีอำนาจของผู้เสียหายในช่องผู้รับโอนให้นายกิตติพงศ์ไปโอนที่สำนักงานขนส่งเอง แล้วนายกิตติพงศ์นำใบคู่มือจดทะเบียนที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนเป็นชื่อผู้เสียหายแล้วมอบให้จำเลย จำเลยแจ้งให้ผู้เสียหายทราบ ผู้เสียหายโอนเงิน 190,000 บาท เข้าบัญชีของนายกิตติพงศ์ โดยหักค่าโอน ค่าประกันอุบัติเหตุและค่าดำเนินการรวม 5,000 บาท จำเลยให้นายกิตติพงศ์ทำสัญญาเช่าซื้อและนางสาวนุชจรีกับนางนิภา ทำสัญญาค้ำประกันและส่งใบคู่มือจดทะเบียนกับเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปที่สำนักงานสาขา ซึ่งได้ส่งต่อไปยังสำนักงานภาคและสำนักงานใหญ่ หลังจากนั้นนายกิตติพงศ์ชำระค่าเช่าซื้อเพียงงวดแรกแล้ว ไม่ชำระอีก ผู้เสียหายตรวจสอบข้อมูลทางทะเบียนที่สำนักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษพบว่า รถที่นำมาขอสินเชื่อไม่ใช่รถของนายกิตติพงศ์ ในสารบบไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนไปเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เสียหายและใบคู่มือจดทะเบียนเป็นเอกสารปลอม สำหรับความผิดในข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารราชการ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมและร่วมกันฉ้อโกงผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีนายประภาส ผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยเป็นพนักงานของผู้เสียหาย ปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งพนักงานการตลาด ทางสำนักงานสาขาจังหวัดกาฬสินธุ์ส่งใบประเมินคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารต่าง ๆ ซึ่งจัดทำโดยจำเลยมาที่สำนักงานภาค โดยระบุชื่อลูกค้าว่าชื่อนายกิตติพงศ์ ประกอบอาชีพค้าขายของเก่าและเปิดสำนักงานหมอลำ แบบฟอร์มขอสินเชื่อจะมีชื่อของผู้ค้ำประกันและรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ค้ำประกัน โดยจำเลยเป็นผู้กรอกรายละเอียดลงในแบบฟอร์ม มีการประเมินวงเงินสินเชื่อ 195,000 บาท ภาพรถยนต์ที่ถ่ายคู่กับจำเลย จำเลยส่งสำเนาใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ที่ปรากฏชื่อของนายกิตติพงศ์และหมายเลขทะเบียนรถยนต์มาที่สำนักงานภาค พร้อมกับเอกสารตามระเบียบของบริษัทผู้เสียหาย ถ้าหากวงเงินขอสินเชื่อตั้งแต่ 200,000 บาท ขึ้นไปนั้น ทางผู้จัดการสาขาจะต้องไปดูและตรวจสอบรถด้วยตัวเองและถ้าหากวงเงินขอสินเชื่อตั้งแต่ 300,000 บาท ขึ้นไป ผู้จัดการภาคจะต้องไปตรวจสอบรถด้วยตนเอง แต่คดีนี้มีการขออนุมัติวงเงินสินเชื่อเป็นเงินจำนวน 195,000 บาท ดังนั้น ผู้จัดการสาขาจึงไม่ต้องไปตรวจสอบรถด้วยตัวเอง รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน กข 8835 ศรีสะเกษ ที่ปรากฏในรูปถ่าย ถ้าหากประเมินตามเกณฑ์ที่บริษัทผู้เสียหายอนุมัตินั้นจะได้วงเงินสินเชื่อถึง 300,000 บาท แต่มีการขอวงเงินสินเชื่อมาเป็นเงินจำนวน 195,000 บาท ทางผู้จัดการสาขาจึงพิจารณาอนุมัติโดยไม่ได้ตรวจสอบรถยนต์ จำเลยมีหน้าที่ในการตรวจสอบรายละเอียดเลขตัวรถและเลขเครื่องยนต์ที่ปรากฏในใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์และที่รถยนต์ว่าถูกต้องตรงกันหรือไม่ ภายหลังที่พยานพิจารณาอนุมัติปล่อยสินเชื่อให้แก่นายกิตติพงศ์แล้ว พยานโทรศัพท์แจ้งให้จำเลยและลูกค้าทราบว่า ทางบริษัทพิจารณาอนุมัติวงเงินตามที่ขอมาแล้วและจะแจ้งให้จำเลยนำรถยนต์ไปโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษเป็นชื่อนางสาวกนกรัตน์ หลักฐานที่ต้องใช้ในการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ได้แก่ คำขอโอนรถ หนังสือมอบอำนาจ หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวคือ หนังสือมอบอำนาจที่นางสาวกนกรัตน์มอบอำนาจให้จำเลยไปโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์เป็นชื่อของนางสาวกนกรัตน์ และเมื่อไปถึงสำนักงานขนส่งก็จะต้องนำรถพร้อมเอกสารต่าง ๆ ไปตรวจสภาพรถ และทางเจ้าหน้าที่ของสำนักงานขนส่งก็จะตรวจสภาพและตรวจเลขตัวรถและเลขเครื่องยนต์ที่ติดอยู่ที่ตัวรถว่าตรงกับหมายเลขตัวรถและเลขเครื่องยนต์ตามที่ปรากฏในใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์หรือไม่ หากตรวจสอบแล้วพบว่าถูกต้องทางเจ้าหน้าที่ก็จะอนุมัติและอนุมัติว่าผ่านการตรวจสภาพแล้ว จากนั้นทางเจ้าหน้าที่จะส่งเอกสารให้จำเลยเพื่อจะนำไปยื่นที่ฝ่ายทะเบียน เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนได้รับคำขอโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ ทางเจ้าหน้าที่ของสำนักงานขนส่งจังหวัดศรีสะเกษจะต้องตรวจสอบว่าข้อมูลของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน กข – 8835 ศรีสะเกษ ว่ามีเลขตัวรถและเลขเครื่องยนต์ตรงกันหรือไม่ ต่อมาภายหลังจำเลยแจ้งไปยังผู้จัดการบริษัทผู้เสียหายสาขากาฬสินธุ์ว่า ได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน กข – 8835 ศรีสะเกษ เป็นของนางสาวกนกรัตน์แล้ว หลังจากที่จำเลยดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์เป็นชื่อของนางสาวกนกรัตน์แล้ว จำเลยก็จะส่งใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์และใบเสร็จรับเงินโดยทางโทรสารให้กับผู้จัดการสาขากาฬสินธุ์ จากนั้นผู้จัดการสาขากาฬสินธุ์ก็จะส่งเอกสารแจ้งมายังสำนักงานภาค ก่อนที่พยานจะส่งเอกสารไปยังสำนักงานใหญ่ พยานโทรศัพท์สอบถามจำเลยว่า ได้โอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน กข – 8835 ศรีสะเกษ เป็นของนางสาวกนกรัตน์แล้วหรือไม่ จำเลยแจ้งว่าได้ดำเนินการแล้ว จากนั้นพยานจึงส่งเอกสารไปยังสำนักงานใหญ่เพื่อให้สำนักงานใหญ่ดำเนินการโอนเงินให้แก่ลูกค้า วันที่จำเลยดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์เป็นชื่อของนางสาวกนกรัตน์นั้น คือวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2550 ส่วนวันที่ทางบริษัทผู้เสียหายโอนเงินให้แก่ลูกค้านั้น คือวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 บริษัทผู้เสียหายโอนเงินให้แก่นายกิตติพงศ์ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนอัษฎางค์ ไปเข้าบัญชีของนายกิตติพงศ์ที่สาขาศรีขรภูมิ โดยทางบริษัทได้โอนเงินให้แก่นายกิตติพงศ์เป็นเงินจำนวน 190,000 บาท ทางบริษัทผู้เสียหายหักค่าโอน ค่าประกันอุบัติเหตุและค่าดำเนินการให้แก่จำเลยเป็นเงิน 5,000 บาท เงินจำนวนดังกล่าวนั้นรวมค่าโอนกรรมสิทธิ์รถด้วย หลังจากที่บริษัทผู้เสียหายโอนเงินให้แก่นายกิตติพงศ์แล้ว พยานเป็นคนแจ้งให้จำเลยไปทำสัญญาเช่าซื้อกับนายกิตติพงศ์ สัญญาเช่าซื้อที่จำเลยทำแทนบริษัทผู้เสียหายกับนายกิตติพงศ์ จำนวน 334,200 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) ระยะเวลาในการผ่อนชำระนั้นรวมทั้งสิ้น 60 เดือน งวดละ 5,570 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) ตามสัญญาเช่าซื้อนั้นมีนางสาวนุชจรีและนางนิภา เป็นผู้ค้ำประกัน รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน กข – 8835 ศรีสะเกษ ไม่ใช่เป็นรถยนต์ของนายกิตติพงศ์ โดยรถยนต์คันดังกล่าวมีเลขตัวรถ CHGD 22000037 หมายเลขเครื่องยนต์ TD 27 – T132248 ส่วนหมายเลขตัวรถที่ปรากฏในเอกสารนั้น คือ CHGD 22 – 000037 หมายเลขเครื่องยนต์ TD 27T – 132248 เห็นว่า จำเลยนำสืบยอมรับว่า จำเลยเป็นพนักงานของผู้เสียหายและได้ส่งเอกสารขอสินเชื่อตามที่นายประภาสเบิกความ รวมทั้งเป็นผู้นำส่งต้นฉบับใบคู่มือจดทะเบียนไปให้ผู้เสียหายจริง แต่นำสืบต่อสู้ว่าไม่ทราบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม จึงต้องพิจารณาจากพฤติการณ์ที่จำเลยปฏิบัติว่าจริงหรือไม่ โดยจากการนำสืบของโจทก์ ก่อนที่จำเลยจะนำใบประเมินคำขอสินเชื่อให้นายกิตติพงศ์ จำเลยมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของต้นฉบับใบคู่มือจดทะเบียน ว่าชื่อเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์และข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ว่าถูกต้องหรือไม่ และส่งข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารไปให้ผู้จัดการสาขาจังหวัดกาฬสินธุ์และผู้จัดการสำนักงานภาคพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจากข้อมูลที่จำเลยจัดส่งเอกสารไปให้ จำเลยมีโอกาสพบกับนายกิตติพงศ์และตรวจสอบต้นฉบับในคู่มือจดทะเบียนรถ โจทก์นำสืบว่าจำเลยมีหน้าที่ดำเนินการให้นายกิตติพงศ์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้นางสาวกนกรัตน์ ซึ่งไม่ว่าการจดทะเบียนโอนการครอบครองรถยนต์จะดำเนินการโดยจำเลยหรือนายกิตติพงศ์ หากดำเนินการถูกต้องจะต้องมีใบเสร็จรับเงินของทางราชการมาแสดง จำเลยไม่ได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยเฉพาะจำเลยมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของการจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองรถยนต์ก่อนจะส่งเอกสารให้บริษัทผู้เสียหาย จำเลยนำสืบเพียงว่านายกิตติพงศ์ส่งมอบเอกสารทั้งหมด ใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์และกุญแจสำรองไปให้ผู้จัดการสาขากาฬสินธุ์ ข้อต่อสู้ของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่า จำเลยไม่ทราบว่าใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เป็นเอกสารปลอม ทางนำสืบของโจทก์นอกจากคดีนี้แล้ว จำเลยยังถูกดำเนินคดีในข้อหาลักษณะเดียวกันกับในคดีนี้อีก ปรากฏตามคำพิพากษาศาลจังหวัดศรีสะเกษและสำเนาคำพิพากษาของศาลจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งลักษณะ วิธี หรือรูปแบบเฉพาะในการกระทำความผิดของจำเลย มีลักษณะเช่นเดียวกับคดีนี้คือ การที่มีผู้นำรถยนต์มาขอสินเชื่อ จำเลยทำการประเมินขอสินเชื่อจากผู้เสียหายแล้วมีการปลอมใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ ซึ่งสามารถนำมาฟังประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/2 วรรคหนึ่ง (2) พฤติการณ์ของจำเลยฟังได้ว่า จำเลยรู้ว่าใบคู่มือจดทะเบียนเป็นเอกสารราชการปลอม ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยร่วมมือกับนายกิตติพงศ์ใช้เอกสารราชการปลอมและฉ้อโกงผู้เสียหาย โดยหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายจ่ายเงินให้นายกิตติพงศ์กับพวกจำนวน 190,000 บาท ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายและประชาชน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 341, 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอม กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 2 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 190,000 บาท แก่ผู้เสียหาย และให้นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1843/2553, 1733/2553 และ 1965/2553 ของศาลชั้นต้น ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารราชการ ยกคำขอให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 569/2552, 571/2552 และ 573/2552 ของศาลชั้นต้น