คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4415/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บทบัญญัติตาม ป.พ.พ.มาตรา 582 วรรคแรก เป็นการบอกกล่าวล่วงหน้าเกี่ยวกับระยะเวลาการจ้าง ส่วนการกำหนดคุณสมบัติของพนักงานรัฐวิสาหกิจว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจต้องมีอายุไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์ตาม พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 มาตรา 9 (2) เป็นบทกฎหมายที่กำหนดคุณสมบัติไว้โดยเฉพาะ มิได้เกี่ยวกับระยะเวลาการจ้าง โจทก์มีอายุเกินหกสิบปีขาดคุณสมบัติที่จะเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจตาม พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจฯ มาตรา 9 (2) และต้องถูกบังคับให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 11 (3) โจทก์ถูกเลิกจ้างเพราะเหตุที่ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายดังกล่าวมิใช่ถูกจำเลยเลิกจ้างตาม ป.พ.พ.มาตรา 582 จำเลยจึงไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์
ข้อตกลงใดที่ทำให้ลูกจ้างเสียสิทธิหรือได้รับสิทธิน้อยกว่าที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจะตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 150
โจทก์พ้นจากการเป็นพนักงานของรัฐวิสาหกิจของจำเลยเนื่องจากเกษียณอายุแล้ว โจทก์ร้องขอทำงานเป็นพนักงานของจำเลยต่อไป โดยทำข้อตกลงกับกรรมการผู้จัดการของจำเลยว่า โจทก์จะทำงานต่อไปพลางก่อนเพื่อรอผลการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารของจำเลย สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยจะเกิดขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่แน่นอน ถือเป็นนิติกรรมที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนตาม ป.พ.พ.มาตรา 183 วรรคแรก เมื่อคณะกรรมการบริหารของจำเลยไม่อนุมัติให้จ้างโจทก์ทำงานกับจำเลยต่อไป สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่เกิดขึ้นเนื่องจากเงื่อนไขบังคับก่อนตามนิติกรรมไม่สำเร็จ โจทก์จึงไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยอีกต่อไปและไม่มีสิทธิตาม พ.ร.บ.พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ.ศ.2534
ข้อตกลงที่จะไม่รับค่าจ้างสำหรับช่วงเวลาที่รอการอนุมัติของคณะกรรมการบริหารของจำเลยทำขึ้นก่อนที่โจทก์จะมีสิทธิตาม พ.ร.บ.พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2534 ไม่ถือเป็นการตัดสิทธิของโจทก์ที่จะได้รับตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว จึงไม่ขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ย่อมมีผลบังคับได้ ไม่ตกเป็นโมฆะ

ย่อยาว

คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ ๑ ถึงโจทก์ที่ ๕
โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องว่า โจทก์ทั้งห้าเคยเป็นลูกจ้างรายเดือนของจำเลย กำหนดจ่ายค่าจ้างในวันที่ ๒๕ ของทุกเดือน เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม๒๕๔๑ จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า และให้การเลิกจ้างมีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๑ ต่อมาจำเลยได้ตกลงจ้างโจทก์ทั้งห้าทำงานต่อไปจนถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ แต่ในที่สุดจำเลยให้โจทก์ทั้งห้าได้ทำงานเพียงถึงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๑ เท่านั้น อันเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๕๘,๓๓๓.๓๓ บาท ค่าจ้างค้าง ๒๖,๒๒๕ บาท ค่าชดเชย ๑๑,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๘๗,๐๒๔ บาท ค่าจ้างค้าง ๓๘,๘๕๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๗๓๔ บาท ค่าชดเชย ๑๑,๐๐๐ บาท ค่าเสียหาย ๕๑๒,๘๒๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๒ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๗๓,๕๒๘ บาท ค่าจ้างค้าง ๓๒,๘๒๕บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๕๔๕ บาท ค่าชดเชย ๑๐,๙๐๐ บาทค่าเสียหาย ๑,๓๐๐,๒๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๓ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า๖๔,๗๓๖ บาท ค่าจ้างค้าง ๒๘,๙๐๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี๓๖๔ บาท ค่าชดเชย ๑๐,๙๐๐ บาท ค่าเสียหาย ๓๘๑,๕๙๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๔สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๕๐,๖๒๐ บาท ค่าจ้างค้าง ๒๒,๖๐๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๔๓๖ บาท และค่าชดเชย ๑๐,๙๐๐ บาท ค่าเสียหาย๒๙๘,๔๓๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๕ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งห้าสำนวนให้การว่า เดิมจำเลยมีฐานะเป็นบริษัทมหาชน(จำกัด) ต่อมากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินได้เข้าถือหุ้นในธนาคารจำเลยจำนวนเกินกว่าร้อยละ ๙๙ ทำให้จำเลยมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๔ ซึ่งทำให้จำเลยไม่อยู่ในบังคับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ และเป็นผลให้โจทก์ทั้งห้าซึ่งทุกคนมีอายุเกินกว่า๖๐ ปีบริบูรณ์ในวันที่จำเลยมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจพ้นจากการเป็นพนักงานของจำเลยตามบทบัญญัติมาตรา ๙ (๒), ๑๑ (๓) แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๑๘ โจทก์ทั้งห้าไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ คงมีสิทธิเพียงได้รับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเป็นจำนวนเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๑๘๐ วัน ตามข้อ ๔๗วรรคหนึ่งแห่งระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๓๔ จำเลยไม่ได้ตกลงว่าจะจ้างโจทก์ทั้งห้าทำงานต่อไปจนถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ จำเลยจึงไม่มีพันธะที่จะต้องจ่ายเงินค่าจ้างให้โจทก์ทั้งห้าสำหรับการปฏิบัติงานในเดือนกันยายน ๒๕๔๑ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยสิ้นสุดลงโดยผลของกฎหมาย มิใช่เกิดจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมจำเลยเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ต่อมาเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๑ รัฐบาลได้ใช้มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศเข้าแทรกแซงกิจการของจำเลยโดยให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าถือหุ้นเป็นจำนวนร้อยละ ๙๙ ทำให้จำเลยต้องแปรสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจและเป็นผลให้ลูกจ้างของจำเลยที่มีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ ซึ่งรวมโจทก์ทั้งห้าต้องพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๙ (๒) จำเลยได้ประกาศเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้า ตามเอกสารหมาย จ.๑ และ ล.๓ หลังจากนั้นโจทก์ทั้งห้าและพนักงานที่ถูกเลิกจ้างยื่นหนังสือร้องขอทำงานกับจำเลยต่อไป นายศิริชัย สมบัติศิริกรรมการผู้จัดการของจำเลยจัดประชุมพนักงานที่ยื่นหนังสือร้องขอทำงานต่อ ที่ประชุมมีมติว่านายศิริชัยจะนำเรื่องพนักงานที่เกษียณอายุขอทำงานต่อไปเสนอต่อคณะกรรมการบริหารของจำเลย โดยให้พนักงานที่ร้องขอทำงานต่อไปพลางก่อน หากคณะกรรมการบริหารของจำเลยอนุมัติการทำงานของพนักงานที่ร้องขอจะได้ต่อเนื่องไม่ขาดตอน ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่าถ้าคณะกรรมการบริหารของจำเลยไม่อนุมัติ ช่วงที่ทำงานไปจะไม่ได้รับค่าจ้าง ต่อมาคณะกรรมการบริหารของจำเลยไม่อนุมัติให้โจทก์ทั้งห้าทำงานต่อไปแล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งห้าทำงานโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา แม้จำเลยจำต้องเลิกจ้างโจทก์ทั้งห้า เนื่องจากโจทก์ทั้งห้ามีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ต้องพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของจำเลยตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๙ (๒) และมาตรา ๑๑ (๓)ก็ไม่มีข้อยกเว้นใดๆให้จำเลยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายจ้างแรงงาน จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งห้าเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกจ้างกันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ วรรคแรกอย่างไรก็ดี กรณีจะเป็นการเลิกจ้างโดยชอบก็ต่อเมื่อจำเลยต้องจ่ายสินจ้างแก่โจทก์ทั้งห้าให้ครบจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียวตามมาตรา ๕๘๒ วรรคสอง ดังนั้นจำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทั้งห้าตามฟ้อง ส่วนค่าจ้างระหว่างการทำงานในวันที่ ๑ ถึง ๒๕ กันยายน๒๕๔๑ เมื่อโจทก์ทั้งห้าตกลงในที่ประชุมกับนายศิริชัย กรรมการผู้จัดการของจำเลยว่าโจทก์ทั้งห้าจะทำงานไปพลางก่อนเพื่อรอมติของคณะกรรมการบริหารของจำเลยว่าจะอนุมัติให้โจทก์ทั้งห้าทำงานต่อไปหรือไม่ หากคณะกรรมการบริหารของจำเลยไม่อนุมัติโจทก์ทั้งห้าจะไม่ได้รับค่าจ้างในช่วงเวลาที่ทำงานไปก่อน เมื่อคณะกรรมการบริหารของจำเลยไม่อนุมัติให้จ้างโจทก์ทั้งห้าต่อไปตามที่โจทก์ทั้งห้าร้องขอ โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันที่ ๑ ถึง ๒๕ กันยายน ๒๕๔๑ พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๕๘,๓๓๓ บาท โจทก์ที่ ๒ จำนวน๘๗,๐๒๔ บาท โจทก์ที่ ๓ จำนวน ๗๓,๕๒๘ บาท โจทก์ที่ ๔ จำนวน ๖๔,๗๓๖ บาทและโจทก์ที่ ๕ จำนวน ๕๐,๖๒๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันเลิกจ้าง (วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้าคำขออื่นให้ยก
โจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งห้าสำนวนอุทธรณ์
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า จำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทั้งห้าหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ทั้งห้ามีอายุเกิน ๖๐ ปี ต้องพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขาดคุณสมบัติการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๙ (๒) และมาตรา๑๑ (๓) ซึ่งเป็นการพ้นจากตำแหน่งโดยผลของกฎหมาย มิใช่ถูกจำเลยเลิกจ้างจำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทั้งห้านั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ วรรคแรก บัญญัติว่า “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กำหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้ แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน” บทบัญญัติดังกล่าวเป็นการบอกกล่าวล่วงหน้าเกี่ยวกับระยะเวลาการจ้าง ส่วนการกำหนดคุณสมบัติของพนักงานรัฐวิสาหกิจว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจต้องมีอายุไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา๙ (๒) เป็นบทกฎหมายที่กำหนดคุณสมบัติไว้โดยเฉพาะ มิได้เกี่ยวกับระยะเวลาการจ้างคดีนี้โจทก์ทั้งห้ามีอายุเกินหกสิบปี ขาดคุณสมบัติที่จะเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจตามมาตรา๙ (๒) และต้องถูกบังคับให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๑ (๓)โจทก์ทั้งห้าจึงถูกเลิกจ้างเพราะเหตุที่ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายดังกล่าว มิใช่ถูกจำเลยเลิกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ จำเลยจึงไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งห้า
ส่วนที่โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์ว่า จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ ๑ ถึง ๒๕ กันยายน ๒๕๔๑ ให้แก่โจทก์ทั้งห้า เนื่องจากโจทก์ทั้งห้าได้ทำงานให้แก่จำเลยในช่วงเวลาดังกล่าว และจำเลยได้รับประโยชน์จากผลการทำงานของโจทก์ทั้งห้าไปแล้ว แม้โจทก์ทั้งห้าได้ตกลงกับนายศิริชัย สมบัติศิริ กรรมการผู้จัดการของจำเลยว่า โจทก์ทั้งห้าจะขอทำงานต่อไปพลางก่อนเพื่อรอผลการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารของจำเลยว่าจะให้โจทก์ทั้งห้าทำงานต่อไปหรือไม่ หากคณะกรรมการบริหารของจำเลยอนุมัติให้โจทก์ทั้งห้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยต่อไป จำเลยจะจ่ายค่าจ้างย้อนหลังให้ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๑ เป็นต้นไปหากคณะกรรมการบริหารของจำเลยไม่อนุมัติ โจทก์ทั้งห้าจะไม่ได้รับค่าจ้างที่ทำงานมาก็ตาม เงื่อนไขตามข้อตกลงดังกล่าวขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตกเป็นโมฆะ ถือว่าไม่มีเงื่อนไขดังกล่าว จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างในวันที่ ๑ ถึง ๒๕ กันยายน ๒๕๔๑ ให้แก่โจทก์ทั้งห้า เห็นว่า ข้อตกลงใดที่ทำให้ลูกจ้างเสียสิทธิหรือได้รับสิทธิน้อยกว่าที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานอันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจะตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐ ต่อเมื่อผู้ที่ทำข้อตกลงนั้นเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน คดีนี้ได้ความว่าเมื่อโจทก์ทั้งห้าพ้นจากการเป็นพนักงานของจำเลยเนื่องจากเกษียณอายุแล้ว โจทก์ทั้งห้าร้องขอทำงานเป็นพนักงานของจำเลยต่อไปโดยทำข้อตกลงกับนายศิริชัย สมบัติศิริ กรรมการผู้จัดการของจำเลยว่าโจทก์ทั้งห้าจะทำงานต่อไปพลางก่อนเพื่อรอผลการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารของจำเลย ดังนี้สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยจะเกิดขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่แน่นอน ถือเป็นนิติกรรมที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๘๓ วรรคแรก เมื่อคณะกรรมการบริหารของจำเลยไม่อนุมัติให้จ้างโจทก์ทั้งห้าทำงานกับจำเลยต่อไป สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยยังไม่เกิดขึ้นเนื่องจากเงื่อนไขบังคับก่อนตามนิติกรรมไม่สำเร็จ โจทก์ทั้งห้าจึงไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยอีกต่อไปและไม่มีสิทธิตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๔ ข้อตกลงที่จะไม่รับค่าจ้างสำหรับช่วงเวลาที่รอการอนุมัติของคณะกรรมการบริหารของจำเลยนั้นทำขึ้นก่อนที่โจทก์ทั้งห้าจะมีสิทธิตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๔ไม่ถือเป็นการตัดสิทธิของโจทก์ทั้งห้าที่จะได้รับตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงไม่ขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ย่อมมีผลบังคับได้ ไม่ตกเป็นโมฆะ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ทั้งห้าที่ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งห้าเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.

Share