แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยกู้โจทก์จำเลยต่อสู้ว่าได้ชำระเงินกู้ให้โจทก์แล้วและฟ้องแย้งเรียกเงินที่ชำระเกินคืนจากโจทก์ด้วย เช่นนี้ เมื่อหนังสือสัญญากู้ยังอยู่ที่โจทก์ โดยยังมิได้แทงเพิกถอนในเอกสารว่าได้มีการชำระหนี้หรือมีเอกสารที่มีลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้กู้มาแสดง ย่อมจะฟังว่าจำเลยได้ชำระเงินกู้แก่โจทก์แล้วหาได้ไม่
(อ้างฎีกาที่ 513/2501)
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกู้เงินโจทก์ไปเป็นเงินจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท ทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐาน นับแต่วันกู้จนถึงวันฟ้องจำเลยผ่อนดอกเบี้ยให้โจทก์รวม ๑๙ เดือน ส่วนต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระรวม ๒๒,๘๑๒.๕๐ บาท จำเลยยังมิได้ชำระ โจทก์ทวงถาม จำเลยผิดนัด ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินรวมทั้งดอกเบี้ยให้โจทก์ตามฟ้องด้วย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การกับฟ้องแย้งว่า กู้เงินโจทก์ไปจริงแต่ชำระให้โจทก์ไปแล้วหลายครั้ง เมื่อรวมแล้วโจทก์รับเงินของจำเลยซึ่งเกินต้นเงินและดอกเบี้ยที่กู้ไป ๔,๗๒๕ บาท ดังปรากฏในเอกสารการรับเงินของโจทก์ท้ายคำให้การ ขอให้ศาลยกฟ้องและฟ้องแย้งเรียกเงินคืน ๔,๗๒๕ บาทจากโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เอกสารที่จำเลยเสนอมาท้ายคำให้การ เป็นการคิดดอกเบี้ยและรับเงินที่เกี่ยวพันหนี้สินรายอื่น ไม่เกี่ยวกับหนี้สินที่โจทก์ฟ้อง ฟ้องแย้งเคลือบคลุม ขาดอายุความ และไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนชี้สองสถาน จำเลยที่ ๒ ถึงแก่กรรม ศาลสั่งให้จำเลยที่ ๑ เป็นคู่ความแทนจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินกู้ให้โจทก์ ๑๕,๐๐๐ บาท พร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี และยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยให้การรับแล้วว่าได้กู้เงินโจทก์และทำหนังสือสัญญากู้เงินตามฟ้องให้แก่โจทก์จริง แต่ต่อสู้ว่าได้ใช้เงินให้แก่โจทก์แล้ว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ วรรค ๒ บัญญัติว่า “ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว” คดีนี้ ได้ความว่าสัญญากู้อันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมซึ่ง จำเลยทำให้โจทก์ยึดถือไว้นั้น ยังคงอยู่ที่โจทก์โดยมิได้แทงเพิกถอนในเอกสารนั้นว่าได้มีการชำระหนี้แล้ว ทั้งไม่มีเอกสารใดที่มีลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้กู้พอที่จะเป็นหลักฐานแสดงการรับเงินของโจทก์ เอกสารหมาย ล.๑ ล.๒ นั้น ไม่มีลายมือชื่อโจทก์อยู่เลย ทั้งโจทก์ปฏิเสธอยู่ว่ามิใช่เป็นเอกสารที่เกี่ยวหนี้รายที่ฟ้อง จึงไม่พอที่จะฟังเป็นหลักฐานการใช้เงินรายที่ฟ้อง จำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๑๓/๒๕๐๑ ระหว่างนายเนียม โจทก์ นายชื่น ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันใหัจำเลยใช้เงินแก่โจทก์นั้นชอบแล้ว พิพากษายืน