คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าของรถ และจัดรถนั้นรับคนโดยสารนำเที่ยว เก็บค่าโดยสารคนละ 55 บาท และโจทก์เป็นผู้โดยสาร แสดงให้เห็นถึงสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยมีหน้าที่เป็นผู้รับขนคนโดยสารแล้ว
เมื่อรถที่ลูกจ้างขับไปชนรถอื่นเพราะเหตุสุดวิสัย นายจ้างไม่ต้องรับผิดทั้งในฐานะนายจ้างและในฐานผู้รับขนคนโดยสาร

ย่อยาว

โจกท์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของรถยนต์ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ จำเลยที่ ๑ จัดรถยนต์ดังกล่าวรับคนโดยสารนำไปเที่ยวพระพุทธบาทสระบุรีเก็บค่าโดยสารคนละ ๕๕ บาท จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ ๑ โจทก์เป็นผู้โดยสาร จำเลยที่ ๒ ขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ ไปด้วยความประมาทชนรถยนต์บรรทุกซุง เป็นเหตุให้โจทก์บาดเจ็บสาหัส ขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและชั้นพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นผู้จัดรถนำเที่ยว และจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ประมาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าจำเลยต้องรับผิดในฐานะเป็นผู้รับขนคนโดยสารด้วยหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ถ้าโจทก์ประสงค์ให้จำเลยที่ ๑ รับผิดเพียงในฐานะนายจ้างสถานเดียว จะกล่าวในฟ้องเพียงว่าจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของรถ จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างและขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ ด้วยความประมาท ทำให้โจทก์เสียหาย ก็พอแล้ว ไม่จำต้องกล่าวถึงว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดรถคันดังกล่าวรับขนคนโดยสารค่าโดยสารคนละ ๕๕ บาทในลักษณะรับเหมาเท่ากันหมด และโจทก์โดยสารมาในรถคันนั้นด้วยการที่กล่าวเช่นนั้นก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงสภาพแห่งข้อหาในฐานะที่จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่เป็นผู้รับขนคนโดยสารด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้รับขนคนโดยสารอีกโสดหนึ่ง ต้องรับวินิจฉัยให้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ตามฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๒ ประมาท แต่ข้อเท็จจริงนอกจากยังฟังไม่ได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดแล้ว ยังฟังได้ว่าการที่รถโดยสารถูกรถบรรทุกชนนั้น เป็นการนอกอำนาจของจำเลยที่ ๒ จะป้องกันได้ ถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัยของจำเลยที่ ๒ ด้วย จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดทั้งในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ ๒และในฐานะผู้รับคนโดยสาร
พิพากษายืนในผลของคดี ให้ยกฟ้องโจทก์

Share