คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1081/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์โดยขู่เข็ญจะกระทำร้ายเพื่อให้เจ้าทรัพย์ส่งทรัพย์ให้ มิได้บรรยายว่าจำเลยฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้าอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยลักทรัพย์ โดยมิได้ใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญจะใช้กำลังประทุษร้าย หากแต่ได้ลักทรัพย์โดยฉกฉวยทรัพย์วิ่งหนีไปต่อหน้า อันเข้าลักษณะเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ดังนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานวิ่งราวทรัพย์ ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งมีลักษณะพิเศษไปจากการลักทรัพย์ธรรมดา เมื่อโจทก์ไม่บรรยายฟ้องในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ คดีจึงคงลงโทษจำเลยได้ในฐานลักทรัพย์เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกัน กล่าวคือได้ใช้กำลังประทุษร้ายนางปิ่นผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย และได้ลักทรัพย์เงินจำนวน ๑,๕๐๐ บาท ของผู้เสียหายไป โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๓๓๙ และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
ชั้นเริ่มพิจารณา จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ภายหลังสืบพยานโจทก์ได้สองปากจำเลยขอรับสารภาพฐานทำร้ายร่างกาย คงยังปฏิเสธในข้อหาฐานชิงทรัพย์
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงในข้อหาชิงทรัพย์ว่า จำเลยได้เอาเงินผู้เสียหายไปโดยจับมือผู้เสียหายแล้วทวงเงิน เมื่อผู้เสียหายล้วงเงินออกมาเพื่อจะมอบให้จำเลจึงฉกฉวยฯ เงินพาหนีไป เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความเข้าลักษณะเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์และแม้โจทก์จะฟ้องในข้อหาชิงทรัพย์ ก็ลงโทษในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ใด พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๕, ๓๓๖ ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๓๖ อันเป็นกระทงหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ วางโทษจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน รับสารภาพในข้อหาทำร้ายร่างกาย มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๗๘ คงจำคุกไว้ ๑ ปี และให้คืนหรือใช้เงิน ๑,๕๐๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์
โจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่าพฤติการณ์ที่จำเลยจับมือผู้เสียหาย และพูดบังคับให้ส่งเงินให้เป็นการขู่เข็ญ และการจับมือผู้เสียหายถือเป็นการประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๖) ขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาโจทก์ในปัญหาว่าการกระทำต่อผู้เสียหายเป็นการขู่หรือไม่นั้นเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้แล้ว เมื่อคดีห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาต้องห้ามให้ยกฎีกาโจทก์ แต่ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์โดยการขู่เข็ญเพื่อให้เจ้าทรัพย์ส่งทรัพย์ให้ มิได้บรรยายว่าจำเลยฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้า อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ จึงเห็นว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ด้วยความผิดฐานชิงทรัพย์รวมการกระทำฐานลักทรัพย์และทำร้ายร่างกายเข้าด้วยกัน ซึ่งแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ส่วนความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ซึ่งมีลักษณะพิเศษไปจากการลักทรัพย์ธรรมดา เมื่อโจทก์ไม่บรรยายฟ้องถึงการกระทำผิดของจำเลยว่าเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์จะลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ได้ คดีคงลงโทษได้ในฐานลักทรัพย์เท่านั้น พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๓๓๔ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๓๔ ซึ่งเป็นกระทงหนัก ส่วนกำหนดโทษและลดโทษคงให้เป็นไปตามเดิม นอกนั้นให้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share