แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ตรวจพิสูจน์ของกลางเบิกความยืนยันตามรายงานการตรวจพิสูจน์ว่าลูกกระสุนปืนของกลางไม่มีรอยตำหนิเข็มแทงชนวนที่จานท้ายกระสุนปืน ย่อมแสดงว่ากระสุนปืนมิได้ถูกยิงจากอาวุธปืนของกลางในขณะเกิดเหตุ ส่วนที่ผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยกระชากลูกเลื่อนแล้วจ้องอาวุธปืนไปยังผู้เสียหายนั้น ผู้เสียหายกับจำเลยอยู่ห่างกันประมาณ 3 เมตร โดยผู้เสียหายกำลังจูงรถจักรยานยนต์ในภาวะการณ์เช่นนี้ หากจำเลยประสงค์จะยิงผู้เสียหายจริง จำเลยต้องยิงได้ทันทีก่อนผู้เสียหายเข้าไปแย่งอาวุธปืนจากจำเลย เนื่องจากจำเลยได้กระชากลูกเลื่อนบรรจุกระสุนปืนเข้ารังเพลิงเสร็จก่อนที่ผู้เสียหายจะเข้าแย่งอาวุธปืน ตามพฤติการณ์ของจำเลยอาจกระชากลูกเลื่อนอาวุธปืนและจ้องเพื่อขู่ผู้เสียหายเท่านั้น ทั้งจำเลยและผู้เสียหายก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันรุนแรงถึงขั้นที่จะประสงค์ต่อชีวิต กรณียังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289, 371, 376, 91, 80, 59 (ที่ถูก 58), 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 8 ทวิ, 72 ทวิ ริบของกลางทั้งหมด กับให้บวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1080/2536 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(2) ประกอบมาตรา 80, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานพาอาวุธปืนติดตัวโดยไม่ได้รับใบอนุญาตลงโทษจำคุก 1 ปี ฐานยิงปืนโดยใช่เหตุลงโทษจำคุก 10 วัน แต่คงให้จำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91(3) ริบของกลางทั้งหมด ส่วนที่โจทก์ขอให้บวกโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1080/2536 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้นั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลลงโทษจำคุกจำเลยถึงตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่อาจนำโทษที่รอการลงโทษไว้มาบวกได้อีก ให้ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ฐานพยายามฆ่า เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2), 80 ส่วนความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะให้ปรับบทความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ด้วย ความผิดฐานพาอาวุธปืนเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 เมื่อรวมโทษฐานพาอาวุธปืนฯ และยิงปืนโดยใช่เหตุแล้วจำคุก 1 ปี 10 วัน บวกโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1080/2536 ของศาลชั้นต้นอีก 6 เดือน คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 6 เดือน10 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง จ่าสิบตำรวจนุกูล สุพัฒน์ ผู้เสียหายปฏิบัติหน้าที่ประจำป้อมตำรวจสายตรวจตำบลควนกลาง ได้รับแจ้งจากสิบเอกเกรียกศักดิ์ พรหมแก้ว ว่า ขณะสิบเอกเกรียงศักดิ์ขับรถจักรยานยนต์แซงรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับ จำเลยได้ยิงปืนหลายนัด ผู้เสียหายจึงไปสอบถามจำเลยที่บ้านของจำเลย แล้วผู้เสียหายกล่าวหาว่าขณะผู้เสียหายอยู่ที่บ้านจำเลย จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายและนายวิโรจน์ เกิดไกร เป็นพยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่าเมื่อผู้เสียหายทราบเหตุจากสิบเอกเกรียงศักดิ์ว่า จำเลยยิงปืนขึ้นฟ้า ผู้เสียหายได้ขับรถจักรยานยนต์มีนายวิโรจน์นั่งซ้อนท้ายไปบ้านจำเลย เมื่อถึงบ้านจำเลยนายวิโรจน์ลงไปปัสสาวะข้างบ้าน ผู้เสียหายยืนจูงรถจักรยานยนต์ตรงประตูข้างบ้านจำเลยจำเลยนั่งอยู่ที่ประตูมีอาการเมาสุรา ผู้เสียหายไม่รู้จักจำเลยจึงได้ถามจำเลยว่า นายสุธรรมอยู่หรือไม่ มีผู้แจ้งเหตุว่านายสุธรรมยิงปืน จำเลยไม่ยอมบอกว่าตนเองคือนายสุธรรมแต่แกล้งบอกว่านายสุธรรมไปบ้านพ่อ ผู้เสียหายจึงจูงรถจักรยานยนต์เลี้ยวกลับพยานทั้งสองได้ยินเสียงคล้ายลั่นไกปืน 1 ครั้ง จึงหันไปดูเห็นจำเลยกระชากลูกเลื่อนอาวุธปืนสั้นออโตเมติกแล้วจ้องอาวุธปืนมาทางผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้เข้าแย่งอาวุธปืนได้จากจำเลยพ้อมกระสุนปืนอีก 1 นัด จากมือซ้ายจำเลย ในอาวุธปืนมีกระสุนปืนอยู่ในรังเพลิง 1 นัด ในซองกระสุนปืน 8 นัด รวมกระสุนปืนทั้งหมด 10 นัด ศาลฎีกาได้พิจารณารายงานการตรวจพิสูจน์ บันทึกคำให้การร้อยตำรวจเอกสมนึก วรรณชิตประกอบคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกสมนึกผู้ตรวจพิสูจน์ของกลางแล้วได้ความว่าลูกกระสุนปืนของกลางทั้งสิบนัดไม่มีรอยตำหนิเข็มแทงชนวนที่จานท้ายกระสุนปืนย่อมแสดงว่ากระสุนปืนทั้งสิบนัดมิได้ถูกยิงจากอาวุธปืนของกลางในขณะเกิดเหตุ ดังนั้นคำเบิกความของผู้เสียหายและนายวิโรจน์ที่ว่า ได้ยินเสียงลั่นไกปืนดังมาจากทางจำเลยจึงน่าสงสัยตามสมควรว่าเสียงนั้นเป็นเสียงลั่นไกปืนหรือไม่ เพราะหากมีการลั่นไกปืนจริง เข็มแทงชนวนต้องกระทบกับจานท้ายกระสุนปืนซึ่งเป็นผลให้มีรอยตำหนิเข็มแทงชนวนปรากฏอยู่ที่จานท้ายกระสุนปืน ส่วนที่ผู้เสียหายและนายวิโรจน์เบิกความว่าจำเลยกระชากลูกเลื่อนเพื่อให้ลูกกระสุนปืนเข้าไปในรังเพลิงแล้วจ้องอาวุธปืนไปยังผู้เสียหายนั้น เห็นว่า ผู้เสียหายกับจำเลยอยู่ห่างกันประมาณ 3 เมตร โดยผู้เสียหายกำลังจูงรถจักรยานยนต์ ในภาวะการณ์เช่นนี้ หากจำเลยประสงค์จะยิงผู้เสียหายจริงจำเลยต้องยิงได้ทันทีก่อนผู้เสียหายเข้าไปแย่งอาวุธปืนจากจำเลย เนื่องจากจำเลยได้กระชากลูกเลื่อนบรรจุกระสุนปืนเข้ารังเพลิงเสร็จก่อนที่ผู้เสียหายจะเข้าแย่งอาวุธปืนจำเลยเป็นผู้มีความสามารถในการใช้อาวุธปืนได้พอสมควร เพราะแม้แต่ในขณะขับรถจักรยานยนต์เมื่อถูกสิบเอกเกรียงศักดิ์ขับรถแซงขึ้นไป จำเลยยังสามารถยิงปืนขึ้นฟ้าได้หลายนัด แล้วเหตุใดจำเลยนั่งหรือยืนอยู่ตามปกติจำเลยจะยิงผู้เสียหายไม่ได้ทันท่วงทีถ้าจำเลยประสงค์จะยิงผู้เสียหายจริง ตามพฤติการณ์ของจำเลยอาจกระชากลูกเลื่อนอาวุธปืนและจ้องเพื่อขู่ผู้เสียหายเท่านั้น ทั้งจำเลยและผู้เสียหายก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันรุนแรงถึงขั้นที่จะประสงค์ต่อชีวิต กรณียังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องเฉพาะข้อหาดังกล่าวมานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน