แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยตกลงจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งผู้จัดการส่วนพัฒนาเงินทุน ค่าจ้างเดือนละ 38,000 บาท และจำเลยตกลงให้โจทก์กับพวกซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยพร้อมกับโจทก์ ร่วมกันระดมเงินฝากให้แก่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 4,000 ล้านบาท จำเลยที่ 1จะจ่ายค่าตอบแทนพิเศษให้โจทก์กับพวกรวม 4 คนในอัตราร้อยละ 0.06ของยอดเงินฝากคงเหลือเฉลี่ยแต่ละวัน โดยจ่ายปีละหนึ่งครั้ง ในกรณีที่โจทก์กับพวกไม่สามารถระดมเงินฝากได้ถึง 2,500 ล้านบาท ในระยะหนึ่งปี จำเลยสามารถใช้สิทธิเปลี่ยนแปลงสัญญากันใหม่ได้ ซึ่งตามข้อกำหนดในสัญญาดังกล่าวโจทก์จะได้ค่าตอบแทนพิเศษหรือไม่จำนวนเท่าใด ขึ้นอยู่กับว่าโจทก์จะระดมเงินฝากได้หรือไม่ และจำนวนมากน้อยเพียงใด จึงไม่แน่นอนว่าโจทก์จะได้รับค่าตอบแทนพิเศษหรือไม่ และจำนวนเท่าใด ทั้งในกรณีที่โจทก์กับพวกร่วมกันระดมเงินฝากได้มากเกิน 4,000 ล้านบาท ในระยะหนึ่งปี ตามสัญญาจ้างก็มิได้กำหนดให้เพิ่มเปอร์เซ็นต์ค่าตอบแทนพิเศษแก่โจทก์ เพื่อเป็นการจูงใจให้โจทก์ขยันระดมเงินฝากเพิ่มขึ้น ทั้งโจทก์จะได้รับเงินตอบแทนพิเศษนี้ปีละครั้งต่างหากจากเงินเดือน และเงินจำนวนนี้พนักงานอื่นไม่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวจึงไม่เป็นเงินรางวัล เงินบำเหน็จ เงินเพิ่มอย่างอื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติ และไม่เป็นเงินเดือน
ค่าตอบแทนพิเศษที่จำเลยตกลงจ่ายให้โจทก์สำหรับหรือเนื่องจากการกระทำหรือการประกอบธุรกิจรับฝากเงิน โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินของจำเลย ซึ่งเป็นการตกลงที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 20(9) อันเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ผู้ประกอบธุรกิจตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแย่งกันระดมเงินฝากโดยให้เงินค่าตอบแทนพิเศษแก่ลูกจ้างในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนก่อให้เกิดความปั่นป่วนในระบบเศรษฐกิจของประเทศเกิดความเสียหายแก่สถาบันการเงินและประชาชนผู้ฝากเงิน จึงเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ข้อตกลงให้ค่าตอบแทนพิเศษตามสัญญาจ้างที่พิพาทย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 และไม่มีผลบังคับให้จำเลยต้องปฏิบัติตาม จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนพิเศษตามที่ตกลงในสัญญาจ้างให้โจทก์
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ค่าตอบแทนพิเศษที่จำเลยที่ 1 ตกลงจะจ่ายให้โจทก์เป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างนั้น เมื่อค่าตอบแทนพิเศษไม่เป็นเงินส่วนที่เป็นเงินเดือน เงินบำเหน็จ เงินรางวัล และเงินเพิ่มอย่างอื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติแล้ว แม้จะฟังว่าค่าตอบแทนพิเศษเป็นเงินค่าจ้างดังโจทก์อุทธรณ์ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะเรียกร้องให้จำเลยจ่ายค่าตอบแทนพิเศษตามข้อตกลงในสัญญาจ้าง อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 2เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลมีหน้าที่ดูแลและพิจารณาในการจ่ายเงินเดือนพนักงานของจำเลยที่ 1 ให้เป็นไปตามข้อตกลงในการจ้างพนักงาน เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2539 จำเลยทั้งสองตกลงจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการส่วนพัฒนาเงินทุน 2 มีหน้าที่ระดมเงินฝากจากประชาชนทั่วไปให้แก่จำเลยที่ 1 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 266,434.77 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ในตำแหน่งผู้จัดการส่วนพัฒนาเงินทุน 2 มีหน้าที่ระดมเงินฝากจากประชาชนทั่วไปได้รับอัตราค่าจ้างเดือนละ 38,000 บาท ค่าครองชีพเดือนละ 2,000 บาทรวมทั้งค่าตอบแทนพิเศษคำนวณจากยอดเงินฝากคงเหลือเฉลี่ยแต่ละวันในอัตราร้อยละ 0.06 แต่หลังจากทำสัญญาจ้าง จำเลยที่ 1 ได้สอบถามธนาคารแห่งประเทศไทยและได้รับแจ้งว่าสัญญาจ้างขัดต่อพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์พ.ศ. 2522 มาตรา 20(9) ซึ่งห้ามมิให้บริษัทเงินทุนจ่ายเงินหรือทรัพย์สินอื่นแก่กรรมการ พนักงานหรือลูกจ้างของบริษัทเงินทุนเป็นค่านายหน้าหรือค่าตอบแทนสำหรับหรือเนื่องจากการกระทำหรือประกอบธุรกิจใด ๆของบริษัทเงินทุน ทั้งนี้นอกจากบำเหน็จ เงินเดือน รางวัล และเงินเพิ่มอย่างอื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติ จำเลยที่ 1 จึงแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจ่ายค่าตอบแทนพิเศษได้ แต่โจทก์จะมีสิทธิได้รับเงินโบนัสประจำปีเหมือนพนักงานทั่วไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะได้รับค่าตอบแทนพิเศษ จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบริหารทั่วไป มิได้มีตำแหน่งเป็นนายจ้างโจทก์จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะนายจ้าง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ข้อตกลงให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าตอบแทนพิเศษตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.3ไม่เป็นโมฆะ เห็นว่า สัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 1 และ ข้อ 2.3จำเลยที่ 1 ตกลงจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งผู้จัดการส่วนพัฒนาเงินทุน 2 ค่าจ้างเดือนละ 38,000 บาท และข้อ 1 กับข้อ 3 คู่สัญญาตกลงให้โจทก์กับพวกซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 พร้อมกับโจทก์ร่วมกันระดมเงินฝากให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 4,000 ล้านบาท จำเลยที่ 1จะจ่ายค่าตอบแทนพิเศษให้โจทก์กับพวกรวม 4 คน ในอัตราร้อยละ 0.06ของยอดเงินฝากคงเหลือเฉลี่ยแต่ละวัน โดยจ่ายปีละหนึ่งครั้ง และตามสัญญาจ้างข้อ 3.4 วรรคสอง กำหนดไว้อีกว่าในกรณีที่โจทก์กับพวกไม่สามารถระดมเงินฝากได้ถึง 2,500 ล้านบาท ในระยะหนึ่งปี จำเลยที่ 1สามารถใช้สิทธิเปลี่ยนแปลงสัญญากันใหม่ได้ซึ่งตามข้อกำหนดในสัญญาดังกล่าวโจทก์จะได้ค่าตอบแทนพิเศษหรือไม่ จำนวนเท่าใด ขึ้นอยู่กับว่าโจทก์จะระดมเงินฝากได้หรือไม่ และจำนวนมากน้อยเพียงใด ถ้าโจทก์ไม่สามารถระดมเงินฝากได้ โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนพิเศษ หรือถ้าระดมเงินฝากได้น้อยโจทก์ก็จะได้รับค่าตอบแทนพิเศษลดลงตามส่วนจึงไม่แน่นอนว่าโจทก์จะได้รับค่าตอบแทนพิเศษหรือไม่ และจำนวนเท่าใดทั้งในกรณีที่โจทก์กับพวกร่วมกันระดมเงินฝากได้มากเกิน 4,000 ล้านบาทในระยะหนึ่งปี ตามสัญญาจ้างก็มิได้กำหนดให้เพิ่มเปอร์เซ็นต์ค่าตอบแทนพิเศษแก่โจทก์ เพื่อเป็นการจูงใจให้โจทก์ขยันระดมเงินฝากเพิ่มขึ้น ทั้งโจทก์เบิกความรับว่า โจทก์จะได้รับเงินตอบแทนพิเศษนี้ปีละครั้งต่างหากจากเงินเดือน และเงินจำนวนนี้พนักงานอื่นไม่มีสิทธิได้รับ ค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวจึงไม่เป็นเงินรางวัล เงินบำเหน็จ เงินเพิ่มอย่างอื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติและไม่เป็นเงินเดือนเพราะเป็นจำนวนไม่แน่นอน และเงินเดือนที่โจทก์จะได้รับนั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงกำหนดจำนวนไว้เดือนละ38,000 บาท เป็นจำนวนที่แน่นอนแล้ว แต่ค่าตอบแทนพิเศษที่จำเลยที่ 1ตกลงจ่ายให้โจทก์ สำหรับหรือเนื่องจากการกระทำหรือการประกอบธุรกิจรับฝากเงิน โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการตกลงที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 20(9)อันเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ผู้ประกอบธุรกิจตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแย่งกันระดมเงินฝากโดยให้เงินค่าตอบแทนพิเศษแก่ลูกจ้างในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนก่อให้เกิดความปั่นป่วนในระบบเศรษฐกิจของประเทศเกิดความเสียหายแก่สถาบันการเงินและประชาชนผู้ฝากเงินจึงเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ข้อตกลงให้ค่าตอบแทนพิเศษตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.3 ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 และไม่มีผลบังคับให้จำเลยที่ 1 ต้องปฏิบัติตาม จำเลยที่ 1 จึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนพิเศษตามที่ตกลงในสัญญาจ้างให้โจทก์ ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าค่าตอบแทนพิเศษที่จำเลยที่ 1 ตกลงจะจ่ายให้โจทก์เป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างและจำเลยที่ 2จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า เมื่อค่าตอบแทนพิเศษไม่เป็นเงินส่วนที่เป็นเงินเดือน เงินบำเหน็จ เงินรางวัลและเงินเพิ่มอย่างอื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติดังวินิจฉัยมาแล้ว แม้จะฟังว่าค่าตอบแทนพิเศษเป็นเงินค่าจ้างดังโจทก์อุทธรณ์ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าตอบแทนพิเศษตามข้อตกลงในสัญญาจ้าง เพราะต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 1 จ่ายโดยกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย”
พิพากษายืน